ค้นหาบล็อกนี้

7/23/2554

รายชื่อเวทมนตร์คาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์

คาถา ฟิเดลลิอัส - ซ่อนความลับไว้ในวิญญาณของ ผู้รักษาความลับ 
 คาถา ดิสเซนดิอุม - เปิดรูปปั้น 
 คาถา ทารันทัลเลกร้า - คาถาเต้นรำ 
 คาถา เพสกิพิกซี่ เพสเตอร์โนมี่ - คาถาหยุดตัวพิกซี่ 
 คาถา เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส - สาปให้แขนขาติดกับลำตัว 
 คาถา เฟอรูล่า - คาถาเสกผ้าพันแผล 
 คาถา โมบิลิคอร์ปัส - คาถาย้ายผู้ที่ไม่สามารถเดินได้ 
 คาถา โมบิลิอาบัส - คาถาย้ายวัตถุสิ่งของ 
 คาถา ริกตัสเซมปร้า - คาถาจี้เส้น 
 คาถา ริดดิคูลัส - คาถาไล่บ็อกการ์ต 
 คาถา รีดัคโต - คาถาทลายด่าน 
 คาถา วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า - คาถาเสกให้สิ่งของลอย 
 คาถา ออบลิเวียต - คาถาลบความจำขั้นรุนแรง 
 คาถา อ๊อบลิวิอาเต้ - คาถาลบความจำ 
 คาถา อิมเปริโอ - คาถาสะกดใจ 
 คาถา เอ็นกอร์จิโอ - คาถาเสกให้ตัวพอง 
 คาถา แอ๊กซีโอ - คาถาเรียกของ 
 คาถา อาโลโฮโมร่า - คาถาสะเดาะกุญแจ 
 คาถา เอกซ์เปลลิอามัส - คาถาปลดอาวุธ 
 คาถา อิมเพอร์วิอัส - คาถาไล่น้ำ 
 คาถา อิมเปดิเมนต้า - คาถาสกัดภัย 
 คาถา เอกซ์เปกโต พาโตรนุม - คาถาเสกผู้พิทักษ์ 
 คาถา สตูเปพาย - คาถาสะกดนิ่ง 
 คาถา ลูมอส - คาถาจุดไฟที่ไม้กายสิทธิ์ 
 คาถา น็อก - คาถาดับไฟที่ไม้กายสิทธิ์ 
 คาถา อินเซนดิโอ - คาถาจุดไฟ 
 คาถา เฟอร์นันคูลัส - คาถาเสกฝีหนอง 
 คาถา เด็นเซากีโอ - คาถาเสกฟันให้ใหญ่ขึ้น 
 คาถา ออร์คิดดีอุส - คาถาเสกดอกไม้ 
 คาถา อาวิส - คาถาเสกนก 
 คาถา โซโนรัส - คาถาขยายเสียง 
 คาถา ไควเอตตัส - คาถาถอนขยายเสียง 
 คาถา เอเนอร์วาเต้ - เสกให้รู้สึกตัว 
 คาถา มอร์สมอร์เดร - คาถาเสกตรามาร 
 คาถา ไพร-ออร์ อินคานตาโต้ - คาถาตรวจสอบคาถาสุดท้ายจากไม้กายสิทธิ์ 
 คาถา ชี้ทาง - คาถาตรวจสอบทางที่ถูกต้องเมื่อ วางไม้กายสิทธิ์ราบกับฝ่ามือ 
 คาถา อะวาดา เคดาฟ-รา - คำสาปพิฆาต 
 คาถา เซอร์เพ็นเซอร์เฮีย - คาถาเสกงู 
 คาถา โลโคมอเตอร ์มอติส - คาถาผูกขา 
 คาถา ไฟไนท์ อินคานทาเท็ม - คลายคาถา 
 คาถา ครูซิโอ - คำสาปกรีดแทง 
 คาถา เรดูซิโอ - คาถาทำให้ตัวหดลง 
 คาถา เรส - คาถาฟื้นหลัง 
 คาถา วาดดิสวาซี่ - คาถาเสกของให้จู่โจมคนที่ต้องการ 
 คาถา อะพาเรซีอุม - คาถาเสกหมึกล่องหนให้ปรากฏ 
 คาถา อะพาเรเต้ - คาถาหายตัวไปยังที่ต่างๆ 
 คาถา ดิลิตริอัส - คาถาสลายตัว ทำให้แตกเป็นส่วนๆ 
 คาถา โอคิวรัส เรพาโร - คาถาซ่อมแซมสิ่งของ 
 คาถา รีลาชีโอ - คาถาไล่คนออกไปห่างๆ 
 คาถา ดิฟฟินโด - คาถาฉีกขาดให้แยกออกเป็นส่วนๆ 
 คาถา เรลาชีโอ - เสกน้ำร้อนพุ่งไปหากรินดี้โลว์ 
 คาถา ดวงตากระต่ายกับเสียงดีดพิณ เปลี่ยนน้ำส่วนนี้ให้เป็นรัม - เสกน้ำให้กลายเป็นเหล้ารัม 
 คาถา สเกอจิฟาย - คาถาทำความสะอาด 
 คาถา อีวาเนสโค - คาถาอันตรธาน 
 คาถา ซิเลนซีโอ - คาถาสงบเสียง 
 คาถา เลกจิลิเมนส์ - คาถาอ่านใจ 
 คาถา อินคาเซอรัส - คาถาเสกเชือก 
 คาถา ฟลาเกรต - คาถาสร้างเครื่องหมายบนอากาศ 
 คาถา คอลโลพอร์ตัส - คาถาล็อคกุญแจ 
 คาถา ไฟไนท์ - คลายคาถา 
 คาถา โพรเทโก้ - คาถาเกราะป้องกัน 
 คาถา พอร์ตัส - คาถาเสกกุญแจนำทาง

5/10/2554

ภาพเก่าๆ

ภาพเก่าชวนค้นหา

ช่างภาพในอดีตที่เราไม่ทราบว่าคือใคร ได้ให้ภาพความเป็นไปของบ้านเมืองในยุคของเขา เข้าใจว่าถ่ายระหว่าง พ.ศ. 2485-2500 หลายภาพเป็นช่วงเหตุการณ์เดียวกัน อย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วม ผมไม่ทราบว่าแต่ละภาพคือที่ใด หากท่านใดทราบ มาช่วยเฉลยกันครับ




ภาพที่ 1 น้ำท่วมถนน ใช้วัวเทียมเกวียนไม่เดือดร้อน





ภาพที่ 2 สะพานที่มีน้ำท่วมสูงมาก เห็นคนเดินไหวๆบนสะพาน ใช่หรือไม่?

(สะพานนวรัฐ เชียงใหม่ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกที่ทำด้วยไม้สัก ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้สะพาน ทางราชการจึงสร้างสะพานเหล็กลำลองพอให้รถวิ่งข้าไปมาได้ เมื่อรถไฟมาถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2464 จึงมีการรื้อสะพานไม้เดิมแล้วสร้างสะพานเหล็กขึ้นแทน เมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้รับการสร้างใหม่ให้เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก)





ภาพที่ 3 น่าจะเป็นสะพานในต่างจังหวัด ระยะใกล้มีใบของต้นสัก?

(สะพานเดชาติวงศ์ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ก่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์
กรมทางหลวงวางแผนสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เป็นประตูสู่ภาคเหนือ
เมื่อปี 2485 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กมีความยาว 404.5 เมตร
ทางรถกว้าง 6.50 เมตร ทางเท้าข้างสะพาน 1 เมตร)




ภาพที่ 4 น้ำ้ท่วม ไฟฟ้ามีแต่ต้นเสา





ภาพที่ 5 ไม่เห็นรถยนต์สักคัน จักรยายและสามล้อมีอยู่ทั่วไป





ภาพที่ 6 ตลาด มีภาพโฆษณาขายนาฬิกาข้อมือ มีเสาไฟฟ้าแต่ไม่มีสายไฟ
หรืออยู่ระหว่างรอการเดินสายไฟ?





ภาพที่ 7 หอระฆังที่สวยงามของวัดแห่งหนึ่ง เห็นห้องเรียนอยู่ลิบๆ
เข้าใจว่านักเรียนกำลังเรียนหนังสือ

(หอระฆังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ลำพูน
เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างประมาณปี พ.ศ.2480
เพื่อไว้เป็นที่แขวนระฆังและกังสดาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)





ภาพที่ 8 เรือหาปลาในท้องน้ำที่เวิ้งว้าง





ภาพที่ 9 ริมทะเล





ภาพที่ 10 ทางขึ้นวัดแห่งหนึ่ง

(บันไดนาควัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2100 โดยมีพระมหาญาณมงคลโพธิ ซึ่งมีขนาดความยาว 306 ขั้น ประกอบด้วยพญานาคทั้ง 2 ข้าง ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตกแต่งอย่างปราณีต พญานาคแต่ละตัวมี 7 หัว บันไดนาคนี้สร้างมานานกว่า 400 ปี มีการชำรุดไปบ้างแต่ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา)




ภาพที่ 11 ทางขึ้นเขา





ภาพที่ 12 ทางลงจากเขาที่ต้องเดินอีกยาวไกลไม่สิ้นสุด





ภาพ 13 วัดแห่งหนึ่ง





ภาพที่ 14 ทะเล





ภาพที่ 15 วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ปกคลุมไปทั่ว





ภาพที่ 16 เรือ





ภาพที่ 17 ชุมชนชาวประมง





ภาพที่ 18 ชายทะเล





ภาพ 19 ป้อมแผลงไฟฟ้า

5/03/2554

พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่

หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่


หอคำ
หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
คำว่า หอคำ เป็นคำของคนไทหลายกลุ่มที่ใช้เรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองหรือ
ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า กษัตริย์
คำว่า หอคำ ก็คือคำว่า พระราชวังที่คนไทยรู้จักกันดี
กลุ่มคนไทที่เรียกพระราชวังว่าหอคำ ได้แก่คนไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ ไทยอง ไทอาหม และไทยวน การศึกษาของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท. ๒๕๒๒) คนไทเขินในเมืองเชียงตุง คนไทใหญ่ในเมืองไทย รัฐฉานของพม่าเรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองว่า หอคำ และ หอเจ้าฟ้า
การศึกษาของเรณุ วิชาศิลป์ (พงศาวดารไทอาหม. ๒๕๓๙) พบว่าคนไทอาหมแห่งรัฐอัสสัมของอินเดียภาคตะวันออกติดกับพม่าเรียกที่อยู่ของ เจ้าผู้ครองเมืองว่า หอนอน หรือ หอหลวง
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่และล้านนาเรียกที่อยู่ของ
เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ และล้านนา ว่า “หอคำ” โดยตลอด


หอคำหลวง
ส่วนคนไทในสยามอยู่ใกล้ชิดกับอารยธรรมของเขมรซึ่งรับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง คนไทสยามจึงหันไปใช้คำว่า “พระราชวัง”หรือ “พระบรมมหาราชวัง” รวมทั้งคำว่ากษัตริย์ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ขณะที่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ใช้คำว่า เจ้าเมือง, เจ้าหลวง หรือ เจ้าฟ้า เพื่อเรียกกษัตริย์
เนื่องจากคนไทสยามสามารถสถาปนาอาณาจักร ขึ้นได้อย่างมั่นคง แต่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และยังสูญเสียอำนาจการปกครองและศิลปวัฒนธรรมตลอดจนภาษาถูกทำลาย คำว่า “หอคำ” จึงค่อย ๆ หายไป คนไทยทั่วประเทศจึงรู้จักแต่คำว่าพระราชวัง
นอกจากคำว่า “หอคำ” ยังมีคำว่า “คุ้มหลวง” ที่ใช้ในความหมายเดียวกันและปรากฏในเอกสารตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ด้วย นั่นคือคำว่า พระบรมมหาราชวัง นั่นเอง
แต่คำว่า “คุ้ม” คำเดียวแปลได้ ๒ อย่างคือ คุ้มที่หมายถึงหอคำ คือที่ประทับของเจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งถ้าต้องการความหมายที่ชัดเจนก็ต้องใช้คำว่า คุ้มหลวง แต่หากเป็นคำว่าคุ้ม ยังอาจหมายถึงที่ประทับของเจ้านายในแง่นี้ คำว่าคุ้ม คำเดียวอาจหมายถึงคำว่า “วัง” ในภาษาไทย
กล่าวอีกแง่หนึ่ง คุ้มหรือวังมีได้หลายแห่งเพราะเจ้านายมีหลายคน แต่คำว่าคุ้มหลวง หรือหอคำก็คือพระราชวัง แม้จะมีหลายแห่งแต่ก็เป็นของเจ้านายทั่ว ๆ ไป จากการสำรวจของสมโชติ อ๋องสกุล ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ คุ้มภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่มีประมาณ ๒๕ คุ้ม แบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. คุ้มที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากทายาท
๒. คุ้มที่ทายาทขายไป แต่ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
๓. คุ้มที่ทายาทรื้อเพื่อถวายวัด
๔. คุ้มที่ทายาทมอบให้ทางราชการ แต่ถูกรื้อไปแล้ว
๕. คุ้มที่ทายาทขายให้คนอื่น และถูกรื้อไปแล้ว เหลือแต่รูปภาพ และ
๖. คุ้มที่เหลือแต่ภาพ

 

หอคำที่เหลือแต่ภาพ
การที่คนไทในบริเวณหุบเขาต่าง ๆ คือ ไทยวน (คนเมืองใน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงตุง ในพม่า )
ไทลื้อ ไทยอง ไทใหญ่ ไทเขิน และไทอาหม มีคำใกล้เคียงกัน ก็สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญ ๔ ข้อคือ
หนึ่ง ความเป็นมาที่คล้ายคลึงกันเพราะอยู่ใกล้เคียงกันและรับอิทธิพลเดียวกันและ
สอง คนไทสยามอยู่ใกล้เขมร ชื่นชมและยอมรับอารยธรรมเขมรและอินเดียคนไทสยามจึงรับอารยธรรมเหล่านั้นมา เป็นของตน และเมื่อสามารถสร้างอาณาจักรไทยได้ และเข้ายึดครองรัฐของคนไทกลุ่มอื่น ๆ รัฐไทสยามจึงขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรม
ของเขมร – อินเดียไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ คำที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่นจึงเลือนหายไป แทบไม่มีใครรู้จัก ขณะที่คำจากไทสยามและวัฒนธรรมสยามเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ
สาม การที่กลุ่มคนไทส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขา มีวัฒนธรรมร่วมกันค่อนข้างมาก และวัฒนธรรมเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงช้าด้วยสภาพภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว อาจสะท้อนให้เห็นรากเหง้าหลายประการที่คนไทในอดีตเคยมี แต่เนื่องจากกลายเป็นเมืองขึ้นหรือสิ้นไร้อำนาจการเมือง วัฒนธรรมจึงถูกละเลยและทำลายตามไปด้วย และ
สี่ การที่คนกลุ่มใดก็ตามจะอวดอ้างความเป็น “ไท” หรือ “ไทย” และโฆษณาศิลปวัฒนธรรมของคนไทกลุ่มอื่น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรและสร้างความเสียหายให้แก่วัฒนธรรมและคน “ไท” มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในภาพเป็นหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศ ในราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์

พระเจ้าอินทวิชยานนท์ โปรดให้รื้อถวายวัดพันเตา



หอคำของกษัตริย์เชียงใหม่
เมื่อ พญามังรายยกทัพเข้าโจมตีและยึดเมืองหริภุญไชยได้ในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ หลังจากนั้นจึงมาสร้างเวียงกุ๋มคาม (กุมกาม) ในปี พ.ศ. ๑๘๓๗ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสารภีในปัจจุบันและมาสร้างเวียงเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์ อำนาจบนลุ่มแม่น้ำปิงในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์อำนาจของรัฐล้านนาซึ่งรวมเอาลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำปิงเข้าด้วยกันกระทั่งสามารถแผ่อิทธิพลไปถึงลุ่มแม่น้ำวัง ยม และน่าน กลายเป็นรัฐที่เข้มแข็งที่สุดในบริเวณหุบเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำคง (สาละวิน)
การที่พญามังรายมิได้อาศัยเมืองหริภุญ ไชยเป็นศูนย์อำนาจของรัฐใหม่หลังจากที่ยึดได้แล้ว มิได้อาศัยเวียงเจ็ดลินและเวียงสวนดอก (ซึ่งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และรอบ ๆ ในปัจจุบัน) แต่ได้สร้างเมืองใหม่อีก ๒ เมืองคือ เวียงกุ๋มคาม และ เวียงเชียงใหม่ ย่อมต้องมีเหตุผลบางประการที่ควรศึกษาค้นคว้าต่อไป
ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (ปริวรรตโดยอรุณรัตน์ วิเชียรเขียวและเดวิด วัยอาจ, ๒๕๔๐) พญามังรายได้สร้างอาคารต่าง ๆ หลายหลังได้แก่หอนอน ราชวังคุ้มน้อย โรงคัล (สถานที่เข้าเฝ้า) โรงคำ (ท้องพระโรงที่เสด็จออกราชการ) เหล้ม (พระคลังมหาสมบัติ) ฉางหลวง (ที่เก็บเสบียง) โรงช้าง โรงม้า ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ในบริเวณหอคำ
ดังนั้น คำว่าหอคำ จึงอาจหมายถึงเฉพาะหอที่ประทับ หรือบริเวณทั้งหมดที่เป็นของกษัตริย์ก็ได้
ต่อมาภายหลัง เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร-อินเดียที่ไทสยามรับเข้ามาเผยแพร่ บวกกับคำบาลี-สันสกฤตที่เข้ามาทางวัฒนธรรมพุทธศาสนา
คำใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการด้านภาษาอีกด้านหนึ่ง สะท้อนว่าอำนาจของผู้หกครองย่อมเพิ่มขึ้นได้ด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่นด้านภาษา และศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่คำว่า หอคำ ไม่เพียงแต่หมายถึงที่ประทับหากยังเป็นคำเรียกพระนามของกษัตริย์บางพระองค์ เช่น คำว่า “สมเด็จพระเป็นเจ้าหอคำลคอน” (ลำปาง) ส่วนในงานของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท) เจ้าฟ้าของรัฐต่าง ๆ ในเขตฉาน ไม่ว่าจะเป็นคนไทเขินหรือไทใหญ่ ก็มีคำว่า “เจ้าหอคำ” “ขุนหอคำ” ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับคนอยุธยา มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าปราสาททอง”

 
ซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าเชียงใหม่

เวียงแก้ว – เวียงของกษัตริย์เชียงใหม่
เวียงแก้ว คือ เวียงของกษัตริย์ หมายถึง เขตพระบรมมหาราชวังของรัฐสยามนั่นเอง เมื่อเป็นเวียงก็ย่อมหมายถึงมีกำแพงล้อมรอบ
เวียงแก้วของเวียงเชียงใหม่ตั้งอยู่ใน เขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ ภายในเวียงแก้วมีหอคำอันเป็นที่ประทับ หอกลอง โรงคัล โรงคำ เหล้ม และอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว
เวียงแก้ว ในที่นี้จึงมีความหมายกว้างกว่าคำว่าหอคำ เพราะเวียงแก้วรวมอาคารทั้งหมดไว้ภายใน
คำว่า แก้ว เป็นสิ่งของมีค่า ต่อมาจึงกลายเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ดี มีคุณค่าคำนี้จึงนำไปใช้กับสิ่งอื่นที่มีคุณค่า เช่น นางแก้ว เมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ลูกแก้ว (ลูกชายที่ออกบวชเป็นสามเณร ส่วนบริเวณรอบพระเจดีย์ ก็เรียกว่า “ข่วงแก้ว”
จากประตูช้างเผือก ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือ อันเป็นเดชเมือง (หนึ่งในทักษาเมือง) บริเวณต่อจากนั้นจะเป็นที่โล่งกว้าง เรียกว่า “ข่วงหลวง” หรือ “สนามหลวง” เวียงแก้วจึงอยู่บริเวณใกล้ ๆ เขตหัวข่วง ที่ปัจจุบันคือวัดหัวข่วง ด้านทิศตะวันตก
คุกในหอคำ
คุกหรือที่คนเมืองเรียกว่า “ คอก ” ซึ่งมีไว้เพื่อจองจำนักโทษทั้งหลาย เอกสารในอดีตชี้ให้เห็นว่าคุกตั้งอยู่ในคุ้มหลายแห่งมิใช่มีคุกเดียวในคุ้ม เดียว และมิใช่ว่าคุกมีเฉพาะในหอคำเท่านั้น
หมายความว่าเจ้าหลวงและเจ้าายในอดีตมี อำนาจมากสามารถจับกุมคุมขังไพร่ที่ฝ่าฝืนคำสั่งหรือกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธร รมของยบ้านเมือง หรือไม่พอใจไพร่ทาสบางคนด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อจับกุมคุมขังนักโทษ จึงต้องมีคุกไว้ วิธีการในสมัยก่อนก็คือสร้างคุกภายในบริเวณคุ้ม เพราะแต่ละคุ้มมีทหารและข้าราชบริพารคอยดูแลอยู่แล้ว ก็เพิ่มภาระให้ทหารเหล่านั้นดูแลคุกอีกอย่างหนึ่ง หรืออาจเพิ่มจำนวนทหารเพื่อทำหน้าที่ดูแลตรวจตราคุกเป็นพิเศษ
แรกเริ่มอาจเป็นห้องใดห้องหนึ่งโดยเฉพาะ ต่อมานานเข้า หรือเห็นว่านักโทษต้องมีสถานที่ลงโทษพิเศษ ก็อาจมีการสร้างอาคารเฉพาะหรือขุดดินลงไปให้นักโทษอยู่เพื่อยากแก่การหลบหนี
คุกกลาง หรือ คุกหลวงน่าจะหมายถึงคุกที่คุมขังนักโทษด้วยศาลลูกขุนที่แต่งตั้งโดยเจ้าหลวง เป็นคุกที่คุมขังนักโทษที่ทำผิดต่อรัฐหรือต่อบ้านเมือง หรือต่อบุคคลที่ผู้นำระดับเจ้าหลวงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงมาดูแล เอง ส่วนคุกที่อยู่ภายในของแต่ละคุ้มเป็นคุ้มเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะภายในคุ้มนั้นนั่นเอง เช่น ลักเล็กขโมยน้อย หรือไพร่ทาสภายในคุ้มทะเลาะตบตีกัน เป็นชู้กัน หรือทำงานไม่เป็นที่พอใจของเจ้านาย หรือเจ้านายไม่ชอบใจไพร่ทาสบางคน ฯลฯ
อำนาจอันล้นฟ้าในระบอบศักดินาทำให้เจ้า หลวงและเจ้านายสามารถสั่งจับกุมคุมขังใครก็ได้อยู่แล้ว ในเมื่อทายแก้ต่างก็ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีชัดเจนในหลายกรณี จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจมีธรรมะเพียงใด และไพร่ทาสแข็งแกร่งมีอำนาจต่อรองระบบที่กดขี่ขูดรีดได้แค่ไหน
เช่น จากเอกสาร “คอกในคุ้ม คุ้มในคอก” ของสมโชติ อ๋องสกุล (๒๕๔๕) ในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงหรือเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ในราชวงศ์กาวิละ
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๔๐) คุกของเมืองเชียงใหม่ (อาจารย์สมโชติใช้คำว่าคุกที่เป็นทางการ ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเหมือนกับคำว่าคุกกลาง หรือ State prison
มิใช่คุกของเจ้านายองค์ใดองค์หนึ่ง) อยู่ในคุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ คุ้มนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณสถานีตำรวจกองเมืองบนถนนราชดำเนินในปัจจุบัน
เมื่อเจ้าอุปราชบุญทวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้ใช้คุกในคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) เป็นคุกทางการ คุกนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณกลางเวียง เจ้าบุรีรัตน์ผู้เคยเป็นแม่ทัพปราบกบฏพญาผาบที่อำเภอสันทรายในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๓ น่าเชื่อว่าครั้งนั้นเมื่อชาวนากบฏจำนวนมากถูกจับกุมกบฏชาวนาจาก สันทราย ดอยสะเก็ด สันกำแพง สารภี และ หางดงที่ถูกจับกุมในกรณีกบฏดังกล่าวถูกนำมาคุมขังที่นี่ก่อนการประหาร
เรื่องนี้สามารถสืบได้ว่าคุกในกรุงเทพฯ และอยุธยาตั้งอยู่ที่ใด มีการคลี่คลายอย่างไร แต่สำหรับคุกในสมัยราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ที่มีหลายแห่งภายในคุ้มต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงและข้อสังเกตบางประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก การที่เจ้าอินทวิทชยานนท์ใช้ทุกในคุ้มของเจ้านายบางองค์เป็นคุกทางการหรือ คุกกลางน่าจะแสดงว่า คุกในหอคำไม่มี อาจจะด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้สิ่งไม่ดีอยู่ในหอคำ ด้วยหวั่นเกรงอันตรายหรือความสกปรก ฯลฯ ขณะเดียวกันก็แสดงว่าเจ้าายเจ้าของคุ้มมที่คุกนั้นเป็นคุกกลางเป็นบุคลที่ เจ้าหลวงไว้ใจ ว่าจะต้องมีระบบการป้องกันนักโทษหลบหนีอย่างดี
ประการที่สอง การที่คุกอยู่ในคุ้มใดคุ้มหนึ่งหรือหลายคุ้ม ย่อมสะท้อนให้เห็นระบบการบริหารราชการอย่างง่าย การจัดแบ่งหน่วยงานยังไม่หลากหลาย กล่าวคือ ระบบการบริหารดังกล่าวมิได้จัดตั้งคุกเป็นพิเศษ เช่น ตั้งอาคารอยู่นอกกำแพงเมืองหรือแบ่งเขตรั้วให้ชัดเจน มีเจ้าหน้าที่ดูแลชัดเจนตามหน่วยราชการที่ตั้งขึ้น
ดังที่ได้กล่าวแล้ว การมีคุกอยู่ในคุ้มก็อาศัยทหารภายในคุ้มนั่นเองทำหน้าที่ดูแลนักโทษในคุก อยู่ไม่ไกลจากสายตา ดูแลง่าย ไม่ต้องเพิ่มกำลังพลเพื่อดูแลเฉพาะคุก
ประการที่สาม มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นักโทษในแต่ละคุ้มมีจำนวนไม่มากนัก จึงถูกคุมขังไว้ในแต่ละคุ้ม เพราะถ้าหากมีมากมาย ก็ย่อมมีความจำเป็นที่รัฐจะต้องคิดถึงการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อดูแลควบ คุมนักโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวโดยสรุป หอคำเป็นพระราชวังของกษัตริย์เมืองเชียงใหม่และเมืองต่าง ๆ ของคนไทยหลายกลุ่มหลายเมืองในบริเวณหุบเขาตั้งแต่ล้านนาขึ้นไป ส่วนเวียงแก้วแสดงให้เห็นบริเวณหอคำที่มีกำแพงล้อมรอบชัดเจน และคุ้มแต่ละแห่งมีคุกอยู่ภายในเพื่อคุมขังนักโทษ แต่คุ้มหลวงหรือเวียงแก้วหรือหอคำนั้นไม่มีคุก แต่คุกกลางอยู่ในคุ้มบางแห่งที่เจ้าหลวงชอบ …

ขอบคุณที่มา : http://www.chiangmai-thailand.net

ลำดับกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา


กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา 



พญามังรายได้ทรงกระทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองอาณาจักรล้านนา ซึ่งต่อมาได้เป็นอาณาจักรไทยทางเหนือสุดของแผ่นดินสยามมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีกษัตริย์ราชวงศ์มังรายปกครองต่อเนื่องกันมารวม18 พระองค์ คือ
1.      พระเจ้ามังรายมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์ แห่งเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1839 – 1860
2.      ขุนคราม ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1860 – 1861
3.      พระเจ้าแสนภู ซึ่งเป็นราชนัดดาของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1861 – 1862
4.      ขุนเครือ ซึ่งเป็นราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1862 – 1863 ในช่วงระหว่างนี้ได้เกิดศึกแย่งชิงราชบัลลังก์กัน ระหว่างราชโอรสของขุนคราม 2 พระองค์ จึงทำให้พระเจ้าน้ำท่วมได้ขึ้นครองราชย์แทน
5.      พระเจ้าน้ำท่วม ได้ขึ้นครองราชย์ปกครองเมืองเชียงใหม่เมื่อปีพุทธศักราช 1863 – 1867 แต่ต่อมาพระเจ้าแสนภูก็ได้กลับมาปกครองเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2 ในระหว่างปีพุทธศักราช 1867 – 1871
6.      พระเจ้าคำฟู ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าแสนภู ได้ขึ้นครองราชย์เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1871 – 1877
7.      พระเจ้าผายู ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าคำฟู ก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 1877 –1910
8.      พระเจ้ากือนา ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าผายู ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1910 – 1931 ในช่วงเวลานี้ได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ดอยสุเทพขึ้น
9.      เจ้าแสนเมืองมา ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ากือนา ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 1931 – 1954
10.  เจ้าสามฝั่งแกน ซึ่งเป็นราชโอรสของเจ้าแสนเมืองมา ก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่  ในปีพุทธศักราช  1954 – 1985
11.  พระเจ้าติโลกราช ซึ่งเป็นราชโอรสของเจ้าสามฝั่งแกน ได้ขึ้นครองราชย์เมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 1985 –2030
12.  พระเจ้ายอดเชียงราย ซึ่งเป็นราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา เมื่อปีพุทธศักราช 2030 – 2038
13.  พระเจ้าเมืองแก้ว ซี่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ายอดเชียงรายก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 2038 – 2030
14.  พระเจ้าเมืองเกษกล้า ซึ่งเป็นพระอนุชา (น้องของพระเจ้าเมืองแก้วได้ขึ้นปกครองเชียงใหม่  ในปีพุทธศักราช 2068 – 2081
15.  พระเจ้าซาวคำ ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าเมืองเกษเกล้าก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2086 – 2089 เป็นเวลาเกือบ 4 ปี
16.  พระเจ้าไชยเชษฐา ซึ่งเป็นกษัตริย์จากอาณาจักรล้านช้างและเป็นราชนัดดาของพระเจ้าเมืองเกษเกล้า ก็ได้มาปกครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2089 – 2091 ครั้นเมื่อพระองค์กลับไปปกครองอาณาจักรล้านช้าง จึงได้นำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตที่ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ไปด้วย
17.  พระเจ้าเมกุฏิวงศ์ ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ มังรายอีกพระองค์หนึ่งที่ชาวเชียงใหม่ได้ไปอัญเชิญมาจากเมืองหน่าย ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐไทยเดิมของพม่า ให้มาปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2094 – 2107
18.  พระนางวิสุทธิราชเทวี นับเป็นเชื้อพระวงศ์มังรายองค์สุดท้ายที่ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2107 – 2121
เมืองเชียงใหม่ได้ถูกพม่าข้าศึกยกกองทัพเข้าบุกยึดเมืองเอาไว้ได้ จากนั้นพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าก็ได้ส่งคนมาปกครองเชียงใหม่ นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2121   มาจนถึงปีพุทธศักราช 2317 โดยมีลำดับผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ทั้งจากเมืองพม่าและจากหัวเมืองไทยที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของพม่าดังนี้
1.      สาวถีนรตรา  มังซอศรี หรือมังนรธาช่อ ได้เข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 2122-2150
2.      พระช้อย ปีพุทธศักราช 2150-2152
3.      พระชัยทิพ (มองกอยต่อปีพุทธศักราช 2152-2154
4.      พระช้อย (ได้ครองราชย์ครั้งที่ 2 ปีพุทธศักราช 2154-2157)
5.      เจ้าเมืองน่าน ปีพุทธศักราช 2157-2174
6.      พระยาหลวงทิพเนตร ปีพุทธศักราช 2174-2193
7.      พระแสนเมือง ปีพุทธศักราช 2198-2206
8.      เจ้าเมืองแพร่ ปีพุทธศักราช 2206-2215
9.      อุปราชอึ้งแซะ (กรุงอังวะปีพุทธศักราช 2215-2228
10.  บุตรเจ้าเจตุกา (เจพูตรายปีพุทธศักราช 2225-?
11.  มังแรนร่า ปีพุทธศักราช 2250-2270
12.  เทพสิงห์ ปีพุทธศักราช 2270-2270
13.  องค์คำ ปีพุทธศักราช 2270-2302
14.  เจ้าจันทร์ ปีพุทธศักราช 2302-2304
15.  อดีตภิกษุวัดดวงดี (เจ้าขี้หุดปีพุทธศักราช 2304-2306
16.  โป่อภัยคามินี ปีพุทธศักราช 2306-2312
17.  โป่มะยุงง่วน ปีพุทธศักราช 2312-2317

ในขณะที่พม่าเปลี่ยนผู้ปกครองเข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่บ้าง และแคว้นไทยทางเหนือเข้ามาปกครองบ้าง ในปีพุทธศักราช 2310 ทางกรุงศรีอยุธยาก็ได้เสียให้แก่พม่าเช่นกัน ในช่วงระยะนั้นบ้านเมืองเกิดสับสนอลหม่าน อยู่ในลักษณะบ้านแตกสาแหรกขาด พระยาวชิรปราการ (ตากสินจึงได้นำทหารจำนวนหนึ่ง ตีผ่าวงล้อมของพม่าหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ จนสามารถรวบรวมกำลังกลับมากู้อิสรภาพคืนจากพม่าได้อีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังที่ได้ตั้งกรุงธนบุรีและปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ได้ยกกำลังกองทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่คืนจาสกพม่าได้เด็ดขาด ในปีพุทธศักราช 2317 นับแต่บัดนั้นมา เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาก็ได้ตกเป็นของไทยมาโดยตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไทรงสถาปนาพระยากาวิละเป็นเจ้าครองนครเชียงใหม่ ทรงยกฐานะเป็นเจ้าประเทศราชเสมอด้วยเจ้าผู้ที่ครองนครเวียงจันทน์ขณะนั้น
เจ้ากาวิละจึงเป็นผู้ครองนครเชียนงใหม่ อันดับที่ 1 (ระหว่างปีพุทธศักราช 2325-2356) เป็นราชโอรสของเจ้าชายแก้ว ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่ ของพระยาสุละวะฤาไชยสงคราม (หนานทิพช้างผู้ครองนครลำปางดังนั้น เจ้ากาวิละจึงเป็นหลานของกนานทิพช้างวีรบุรุษแห่งนครลำปางต้นตระกูล ณ ลำปาง ณ ลำพูน ณ เชียงใหม่ ทุกวันนี้
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ ได้แก่ เจ้าน้อยธรรมลังกา หรือเจ้าช้างเผือก (ระหว่างปีพุทธศักราช 2358-2364) เป็นอนุชาเจ้ากาวิละ (และเป็นโอรสเจ้าชายแก้วองค์ที่ 3)
ต่อมา เจ้าคำฝั้นซึ่งเป็นอนุชาของเจ้ากาวิละอีคนที่ได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ 3 ซึ่งเรียกกันอย่างสามัญว่า เจ้าหลวงเศรษฐี (เป็นโอรสองค์ที่ 8 ของเจ้าชายแก้วระหว่างปีพุทธศักราช 2366-2368
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ ได้แก่ เจ้าหลวงวงศา หรือ เจ้าหลวงแผ่นดินเย็น ในระหว่างพุทธศักราช 2369-2389 เจ้าหลวงพุทธวงศานี้เป็นโอรสของเจ้าพ่อเรือนโอรสองค์ที่ 5 ของเจ้าพระยาสุละวะฤาไชยสงคราม(หนานทิพช้าง) (หรือนัยหนึ่งเป็นอนุชาของเจ้าชายแก้วโอรสองค์ที่ ซึ่งเป็นพระบิดาของเจ้ากาวิละนั่นเองหากจะเรียกแบบสามัญชนก็คือ เจ้าหลวงพุทธวงศาเป็นบุตรผู้น้อง
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อันดับที่ 5 คือ พระเจ้ามโหตรประเทศ หรือ พระยามหาวงศ์ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ระหว่างปีพุทธศักราช 2399-2413
เจ้าเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 6 เป็นโอรสองค์ที่ 2 ของเจ้ากาวิละ คือ พระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ สามัญชยเรียกว่า เจ้าชีวิตอ้าว ครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2399-2413
เจ้าเมืองเชียงใหม่อันดับที่ 7 คือ พระเจ้าอินทวิชานนท์ หรือ พระบิดาแห่งพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2416-2439
เจ้าผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 8 คือ พระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เป็นเจ้าโอรสของเจ้าอินทวิยานนท์ และเป็นพระเชษฐาของพระราชชายา พระเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ 5 พระองค์ครองเมืองเชียงใหม่ในระหว่างปีพุทธศักราช 2444-2452
และเจ้าผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 9 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร คือ เจ้าแก้วนวรัฐ โอรสของเจ้าอินทวิชยานนท์ และเป็นอนุชาของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ได้ครองนครเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2454-2482 ซึ่งเป็นอันสิ้นสุดตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาตั้งแต่บัดนั้น โดยเปลี่ยนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแทนในปัจจุบัน

[แก้]

     ที่มา: www.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรล้านนา