ค้นหาบล็อกนี้
12/11/2554
7/23/2554
รายชื่อเวทมนตร์คาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์
คาถา ฟิเดลลิอัส - ซ่อนความลับไว้ในวิญญาณของ ผู้รักษาความลับ
คาถา ดิสเซนดิอุม - เปิดรูปปั้น
คาถา ทารันทัลเลกร้า - คาถาเต้นรำ
คาถา เพสกิพิกซี่ เพสเตอร์โนมี่ - คาถาหยุดตัวพิกซี่
คาถา เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส - สาปให้แขนขาติดกับลำตัว
คาถา เฟอรูล่า - คาถาเสกผ้าพันแผล
คาถา โมบิลิคอร์ปัส - คาถาย้ายผู้ที่ไม่สามารถเดินได้
คาถา โมบิลิอาบัส - คาถาย้ายวัตถุสิ่งของ
คาถา ริกตัสเซมปร้า - คาถาจี้เส้น
คาถา ริดดิคูลัส - คาถาไล่บ็อกการ์ต
คาถา รีดัคโต - คาถาทลายด่าน
คาถา วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า - คาถาเสกให้สิ่งของลอย
คาถา ออบลิเวียต - คาถาลบความจำขั้นรุนแรง
คาถา อ๊อบลิวิอาเต้ - คาถาลบความจำ
คาถา อิมเปริโอ - คาถาสะกดใจ
คาถา เอ็นกอร์จิโอ - คาถาเสกให้ตัวพอง
คาถา แอ๊กซีโอ - คาถาเรียกของ
คาถา อาโลโฮโมร่า - คาถาสะเดาะกุญแจ
คาถา เอกซ์เปลลิอามัส - คาถาปลดอาวุธ
คาถา อิมเพอร์วิอัส - คาถาไล่น้ำ
คาถา อิมเปดิเมนต้า - คาถาสกัดภัย
คาถา เอกซ์เปกโต พาโตรนุม - คาถาเสกผู้พิทักษ์
คาถา สตูเปพาย - คาถาสะกดนิ่ง
คาถา ลูมอส - คาถาจุดไฟที่ไม้กายสิทธิ์
คาถา น็อก - คาถาดับไฟที่ไม้กายสิทธิ์
คาถา อินเซนดิโอ - คาถาจุดไฟ
คาถา เฟอร์นันคูลัส - คาถาเสกฝีหนอง
คาถา เด็นเซากีโอ - คาถาเสกฟันให้ใหญ่ขึ้น
คาถา ออร์คิดดีอุส - คาถาเสกดอกไม้
คาถา อาวิส - คาถาเสกนก
คาถา โซโนรัส - คาถาขยายเสียง
คาถา ไควเอตตัส - คาถาถอนขยายเสียง
คาถา เอเนอร์วาเต้ - เสกให้รู้สึกตัว
คาถา มอร์สมอร์เดร - คาถาเสกตรามาร
คาถา ไพร-ออร์ อินคานตาโต้ - คาถาตรวจสอบคาถาสุดท้ายจากไม้กายสิทธิ์
คาถา ชี้ทาง - คาถาตรวจสอบทางที่ถูกต้องเมื่อ วางไม้กายสิทธิ์ราบกับฝ่ามือ
คาถา อะวาดา เคดาฟ-รา - คำสาปพิฆาต
คาถา เซอร์เพ็นเซอร์เฮีย - คาถาเสกงู
คาถา โลโคมอเตอร ์มอติส - คาถาผูกขา
คาถา ไฟไนท์ อินคานทาเท็ม - คลายคาถา
คาถา ครูซิโอ - คำสาปกรีดแทง
คาถา เรดูซิโอ - คาถาทำให้ตัวหดลง
คาถา เรส - คาถาฟื้นหลัง
คาถา วาดดิสวาซี่ - คาถาเสกของให้จู่โจมคนที่ต้องการ
คาถา อะพาเรซีอุม - คาถาเสกหมึกล่องหนให้ปรากฏ
คาถา อะพาเรเต้ - คาถาหายตัวไปยังที่ต่างๆ
คาถา ดิลิตริอัส - คาถาสลายตัว ทำให้แตกเป็นส่วนๆ
คาถา โอคิวรัส เรพาโร - คาถาซ่อมแซมสิ่งของ
คาถา รีลาชีโอ - คาถาไล่คนออกไปห่างๆ
คาถา ดิฟฟินโด - คาถาฉีกขาดให้แยกออกเป็นส่วนๆ
คาถา เรลาชีโอ - เสกน้ำร้อนพุ่งไปหากรินดี้โลว์
คาถา ดวงตากระต่ายกับเสียงดีดพิณ เปลี่ยนน้ำส่วนนี้ให้เป็นรัม - เสกน้ำให้กลายเป็นเหล้ารัม
คาถา สเกอจิฟาย - คาถาทำความสะอาด
คาถา อีวาเนสโค - คาถาอันตรธาน
คาถา ซิเลนซีโอ - คาถาสงบเสียง
คาถา เลกจิลิเมนส์ - คาถาอ่านใจ
คาถา อินคาเซอรัส - คาถาเสกเชือก
คาถา ฟลาเกรต - คาถาสร้างเครื่องหมายบนอากาศ
คาถา คอลโลพอร์ตัส - คาถาล็อคกุญแจ
คาถา ไฟไนท์ - คลายคาถา
คาถา โพรเทโก้ - คาถาเกราะป้องกัน
คาถา พอร์ตัส - คาถาเสกกุญแจนำทาง
คาถา ดิสเซนดิอุม - เปิดรูปปั้น
คาถา ทารันทัลเลกร้า - คาถาเต้นรำ
คาถา เพสกิพิกซี่ เพสเตอร์โนมี่ - คาถาหยุดตัวพิกซี่
คาถา เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส - สาปให้แขนขาติดกับลำตัว
คาถา เฟอรูล่า - คาถาเสกผ้าพันแผล
คาถา โมบิลิคอร์ปัส - คาถาย้ายผู้ที่ไม่สามารถเดินได้
คาถา โมบิลิอาบัส - คาถาย้ายวัตถุสิ่งของ
คาถา ริกตัสเซมปร้า - คาถาจี้เส้น
คาถา ริดดิคูลัส - คาถาไล่บ็อกการ์ต
คาถา รีดัคโต - คาถาทลายด่าน
คาถา วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า - คาถาเสกให้สิ่งของลอย
คาถา ออบลิเวียต - คาถาลบความจำขั้นรุนแรง
คาถา อ๊อบลิวิอาเต้ - คาถาลบความจำ
คาถา อิมเปริโอ - คาถาสะกดใจ
คาถา เอ็นกอร์จิโอ - คาถาเสกให้ตัวพอง
คาถา แอ๊กซีโอ - คาถาเรียกของ
คาถา อาโลโฮโมร่า - คาถาสะเดาะกุญแจ
คาถา เอกซ์เปลลิอามัส - คาถาปลดอาวุธ
คาถา อิมเพอร์วิอัส - คาถาไล่น้ำ
คาถา อิมเปดิเมนต้า - คาถาสกัดภัย
คาถา เอกซ์เปกโต พาโตรนุม - คาถาเสกผู้พิทักษ์
คาถา สตูเปพาย - คาถาสะกดนิ่ง
คาถา ลูมอส - คาถาจุดไฟที่ไม้กายสิทธิ์
คาถา น็อก - คาถาดับไฟที่ไม้กายสิทธิ์
คาถา อินเซนดิโอ - คาถาจุดไฟ
คาถา เฟอร์นันคูลัส - คาถาเสกฝีหนอง
คาถา เด็นเซากีโอ - คาถาเสกฟันให้ใหญ่ขึ้น
คาถา ออร์คิดดีอุส - คาถาเสกดอกไม้
คาถา อาวิส - คาถาเสกนก
คาถา โซโนรัส - คาถาขยายเสียง
คาถา ไควเอตตัส - คาถาถอนขยายเสียง
คาถา เอเนอร์วาเต้ - เสกให้รู้สึกตัว
คาถา มอร์สมอร์เดร - คาถาเสกตรามาร
คาถา ไพร-ออร์ อินคานตาโต้ - คาถาตรวจสอบคาถาสุดท้ายจากไม้กายสิทธิ์
คาถา ชี้ทาง - คาถาตรวจสอบทางที่ถูกต้องเมื่อ วางไม้กายสิทธิ์ราบกับฝ่ามือ
คาถา อะวาดา เคดาฟ-รา - คำสาปพิฆาต
คาถา เซอร์เพ็นเซอร์เฮีย - คาถาเสกงู
คาถา โลโคมอเตอร ์มอติส - คาถาผูกขา
คาถา ไฟไนท์ อินคานทาเท็ม - คลายคาถา
คาถา ครูซิโอ - คำสาปกรีดแทง
คาถา เรดูซิโอ - คาถาทำให้ตัวหดลง
คาถา เรส - คาถาฟื้นหลัง
คาถา วาดดิสวาซี่ - คาถาเสกของให้จู่โจมคนที่ต้องการ
คาถา อะพาเรซีอุม - คาถาเสกหมึกล่องหนให้ปรากฏ
คาถา อะพาเรเต้ - คาถาหายตัวไปยังที่ต่างๆ
คาถา ดิลิตริอัส - คาถาสลายตัว ทำให้แตกเป็นส่วนๆ
คาถา โอคิวรัส เรพาโร - คาถาซ่อมแซมสิ่งของ
คาถา รีลาชีโอ - คาถาไล่คนออกไปห่างๆ
คาถา ดิฟฟินโด - คาถาฉีกขาดให้แยกออกเป็นส่วนๆ
คาถา เรลาชีโอ - เสกน้ำร้อนพุ่งไปหากรินดี้โลว์
คาถา ดวงตากระต่ายกับเสียงดีดพิณ เปลี่ยนน้ำส่วนนี้ให้เป็นรัม - เสกน้ำให้กลายเป็นเหล้ารัม
คาถา สเกอจิฟาย - คาถาทำความสะอาด
คาถา อีวาเนสโค - คาถาอันตรธาน
คาถา ซิเลนซีโอ - คาถาสงบเสียง
คาถา เลกจิลิเมนส์ - คาถาอ่านใจ
คาถา อินคาเซอรัส - คาถาเสกเชือก
คาถา ฟลาเกรต - คาถาสร้างเครื่องหมายบนอากาศ
คาถา คอลโลพอร์ตัส - คาถาล็อคกุญแจ
คาถา ไฟไนท์ - คลายคาถา
คาถา โพรเทโก้ - คาถาเกราะป้องกัน
คาถา พอร์ตัส - คาถาเสกกุญแจนำทาง
5/10/2554
ภาพเก่าๆ
ภาพเก่าชวนค้นหา
ช่างภาพในอดีตที่เราไม่ทราบว่าคือใคร ได้ให้ภาพความเป็นไปของบ้านเมืองในยุคของเขา เข้าใจว่าถ่ายระหว่าง พ.ศ. 2485-2500 หลายภาพเป็นช่วงเหตุการณ์เดียวกัน อย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วม ผมไม่ทราบว่าแต่ละภาพคือที่ใด หากท่านใดทราบ มาช่วยเฉลยกันครับ
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390795.jpg)
ภาพที่ 1 น้ำท่วมถนน ใช้วัวเทียมเกวียนไม่เดือดร้อน
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390318.jpg)
ภาพที่ 2 สะพานที่มีน้ำท่วมสูงมาก เห็นคนเดินไหวๆบนสะพาน ใช่หรือไม่?
(สะพานนวรัฐ เชียงใหม่ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกที่ทำด้วยไม้สัก ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้สะพาน ทางราชการจึงสร้างสะพานเหล็กลำลองพอให้รถวิ่งข้าไปมาได้ เมื่อรถไฟมาถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2464 จึงมีการรื้อสะพานไม้เดิมแล้วสร้างสะพานเหล็กขึ้นแทน เมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้รับการสร้างใหม่ให้เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390356.jpg)
ภาพที่ 3 น่าจะเป็นสะพานในต่างจังหวัด ระยะใกล้มีใบของต้นสัก?
(สะพานเดชาติวงศ์ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ก่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์
กรมทางหลวงวางแผนสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เป็นประตูสู่ภาคเหนือ
เมื่อปี 2485 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กมีความยาว 404.5 เมตร
ทางรถกว้าง 6.50 เมตร ทางเท้าข้างสะพาน 1 เมตร)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390386.jpg)
ภาพที่ 4 น้ำ้ท่วม ไฟฟ้ามีแต่ต้นเสา
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390423.jpg)
ภาพที่ 5 ไม่เห็นรถยนต์สักคัน จักรยายและสามล้อมีอยู่ทั่วไป
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390469.jpg)
ภาพที่ 6 ตลาด มีภาพโฆษณาขายนาฬิกาข้อมือ มีเสาไฟฟ้าแต่ไม่มีสายไฟ
หรืออยู่ระหว่างรอการเดินสายไฟ?
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390509.jpg)
ภาพที่ 7 หอระฆังที่สวยงามของวัดแห่งหนึ่ง เห็นห้องเรียนอยู่ลิบๆ
เข้าใจว่านักเรียนกำลังเรียนหนังสือ
(หอระฆังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ลำพูน
เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างประมาณปี พ.ศ.2480
เพื่อไว้เป็นที่แขวนระฆังและกังสดาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390538.jpg)
ภาพที่ 8 เรือหาปลาในท้องน้ำที่เวิ้งว้าง
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299390634.jpg)
ภาพที่ 9 ริมทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299390885.jpg)
ภาพที่ 10 ทางขึ้นวัดแห่งหนึ่ง
(บันไดนาควัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2100 โดยมีพระมหาญาณมงคลโพธิ ซึ่งมีขนาดความยาว 306 ขั้น ประกอบด้วยพญานาคทั้ง 2 ข้าง ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตกแต่งอย่างปราณีต พญานาคแต่ละตัวมี 7 หัว บันไดนาคนี้สร้างมานานกว่า 400 ปี มีการชำรุดไปบ้างแต่ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299393462.jpg)
ภาพที่ 11 ทางขึ้นเขา
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299392072.jpg)
ภาพที่ 12 ทางลงจากเขาที่ต้องเดินอีกยาวไกลไม่สิ้นสุด
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299396107.jpg)
ภาพ 13 วัดแห่งหนึ่ง
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299396070.jpg)
ภาพที่ 14 ทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299396028.jpg)
ภาพที่ 15 วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ปกคลุมไปทั่ว
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395973.jpg)
ภาพที่ 16 เรือ
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395932.jpg)
ภาพที่ 17 ชุมชนชาวประมง
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395887.jpg)
ภาพที่ 18 ชายทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395845.jpg)
ภาพ 19 ป้อมแผลงไฟฟ้า
ช่างภาพในอดีตที่เราไม่ทราบว่าคือใคร ได้ให้ภาพความเป็นไปของบ้านเมืองในยุคของเขา เข้าใจว่าถ่ายระหว่าง พ.ศ. 2485-2500 หลายภาพเป็นช่วงเหตุการณ์เดียวกัน อย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วม ผมไม่ทราบว่าแต่ละภาพคือที่ใด หากท่านใดทราบ มาช่วยเฉลยกันครับ
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390795.jpg)
ภาพที่ 1 น้ำท่วมถนน ใช้วัวเทียมเกวียนไม่เดือดร้อน
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390318.jpg)
ภาพที่ 2 สะพานที่มีน้ำท่วมสูงมาก เห็นคนเดินไหวๆบนสะพาน ใช่หรือไม่?
(สะพานนวรัฐ เชียงใหม่ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกที่ทำด้วยไม้สัก ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้สะพาน ทางราชการจึงสร้างสะพานเหล็กลำลองพอให้รถวิ่งข้าไปมาได้ เมื่อรถไฟมาถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2464 จึงมีการรื้อสะพานไม้เดิมแล้วสร้างสะพานเหล็กขึ้นแทน เมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้รับการสร้างใหม่ให้เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390356.jpg)
ภาพที่ 3 น่าจะเป็นสะพานในต่างจังหวัด ระยะใกล้มีใบของต้นสัก?
(สะพานเดชาติวงศ์ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ก่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์
กรมทางหลวงวางแผนสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เป็นประตูสู่ภาคเหนือ
เมื่อปี 2485 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กมีความยาว 404.5 เมตร
ทางรถกว้าง 6.50 เมตร ทางเท้าข้างสะพาน 1 เมตร)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390386.jpg)
ภาพที่ 4 น้ำ้ท่วม ไฟฟ้ามีแต่ต้นเสา
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390423.jpg)
ภาพที่ 5 ไม่เห็นรถยนต์สักคัน จักรยายและสามล้อมีอยู่ทั่วไป
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390469.jpg)
ภาพที่ 6 ตลาด มีภาพโฆษณาขายนาฬิกาข้อมือ มีเสาไฟฟ้าแต่ไม่มีสายไฟ
หรืออยู่ระหว่างรอการเดินสายไฟ?
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390509.jpg)
ภาพที่ 7 หอระฆังที่สวยงามของวัดแห่งหนึ่ง เห็นห้องเรียนอยู่ลิบๆ
เข้าใจว่านักเรียนกำลังเรียนหนังสือ
(หอระฆังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ลำพูน
เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างประมาณปี พ.ศ.2480
เพื่อไว้เป็นที่แขวนระฆังและกังสดาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299390538.jpg)
ภาพที่ 8 เรือหาปลาในท้องน้ำที่เวิ้งว้าง
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299390634.jpg)
ภาพที่ 9 ริมทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299390885.jpg)
ภาพที่ 10 ทางขึ้นวัดแห่งหนึ่ง
(บันไดนาควัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2100 โดยมีพระมหาญาณมงคลโพธิ ซึ่งมีขนาดความยาว 306 ขั้น ประกอบด้วยพญานาคทั้ง 2 ข้าง ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตกแต่งอย่างปราณีต พญานาคแต่ละตัวมี 7 หัว บันไดนาคนี้สร้างมานานกว่า 400 ปี มีการชำรุดไปบ้างแต่ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา)
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299393462.jpg)
ภาพที่ 11 ทางขึ้นเขา
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299392072.jpg)
ภาพที่ 12 ทางลงจากเขาที่ต้องเดินอีกยาวไกลไม่สิ้นสุด
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299396107.jpg)
ภาพ 13 วัดแห่งหนึ่ง
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299396070.jpg)
ภาพที่ 14 ทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1299396028.jpg)
ภาพที่ 15 วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ปกคลุมไปทั่ว
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395973.jpg)
ภาพที่ 16 เรือ
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395932.jpg)
ภาพที่ 17 ชุมชนชาวประมง
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395887.jpg)
ภาพที่ 18 ชายทะเล
![](http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1299395845.jpg)
ภาพ 19 ป้อมแผลงไฟฟ้า
5/03/2554
พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
![](http://www.chiangmai-thailand.net/grand_palace/DSC-0166.jpg)
หอคำ
หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่คำว่า หอคำ เป็นคำของคนไทหลายกลุ่มที่ใช้เรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองหรือ
ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า กษัตริย์
คำว่า หอคำ ก็คือคำว่า พระราชวังที่คนไทยรู้จักกันดีกลุ่มคนไทที่เรียกพระราชวังว่าหอคำ ได้แก่คนไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ ไทยอง ไทอาหม และไทยวน การศึกษาของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท. ๒๕๒๒) คนไทเขินในเมืองเชียงตุง คนไทใหญ่ในเมืองไทย รัฐฉานของพม่าเรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองว่า หอคำ และ หอเจ้าฟ้าการศึกษาของเรณุ วิชาศิลป์ (พงศาวดารไทอาหม. ๒๕๓๙) พบว่าคนไทอาหมแห่งรัฐอัสสัมของอินเดียภาคตะวันออกติดกับพม่าเรียกที่อยู่ของ เจ้าผู้ครองเมืองว่า หอนอน หรือ หอหลวงตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่และล้านนาเรียกที่อยู่ของ
เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ และล้านนา ว่า “หอคำ” โดยตลอด
![](http://www.chiangmai-thailand.net/grand_palace/DSC-0172.jpg)
หอคำหลวง
ส่วนคนไทในสยามอยู่ใกล้ชิดกับอารยธรรมของเขมรซึ่งรับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง คนไทสยามจึงหันไปใช้คำว่า “พระราชวัง”หรือ “พระบรมมหาราชวัง” รวมทั้งคำว่ากษัตริย์ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ขณะที่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ใช้คำว่า เจ้าเมือง, เจ้าหลวง หรือ เจ้าฟ้า เพื่อเรียกกษัตริย์เนื่องจากคนไทสยามสามารถสถาปนาอาณาจักร ขึ้นได้อย่างมั่นคง แต่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และยังสูญเสียอำนาจการปกครองและศิลปวัฒนธรรมตลอดจนภาษาถูกทำลาย คำว่า “หอคำ” จึงค่อย ๆ หายไป คนไทยทั่วประเทศจึงรู้จักแต่คำว่าพระราชวังนอกจากคำว่า “หอคำ” ยังมีคำว่า “คุ้มหลวง” ที่ใช้ในความหมายเดียวกันและปรากฏในเอกสารตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ด้วย นั่นคือคำว่า พระบรมมหาราชวัง นั่นเองแต่คำว่า “คุ้ม” คำเดียวแปลได้ ๒ อย่างคือ คุ้มที่หมายถึงหอคำ คือที่ประทับของเจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งถ้าต้องการความหมายที่ชัดเจนก็ต้องใช้คำว่า คุ้มหลวง แต่หากเป็นคำว่าคุ้ม ยังอาจหมายถึงที่ประทับของเจ้านายในแง่นี้ คำว่าคุ้ม คำเดียวอาจหมายถึงคำว่า “วัง” ในภาษาไทยกล่าวอีกแง่หนึ่ง คุ้มหรือวังมีได้หลายแห่งเพราะเจ้านายมีหลายคน แต่คำว่าคุ้มหลวง หรือหอคำก็คือพระราชวัง แม้จะมีหลายแห่งแต่ก็เป็นของเจ้านายทั่ว ๆ ไป จากการสำรวจของสมโชติ อ๋องสกุล ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ คุ้มภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่มีประมาณ ๒๕ คุ้ม แบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. คุ้มที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากทายาท
๒. คุ้มที่ทายาทขายไป แต่ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
๓. คุ้มที่ทายาทรื้อเพื่อถวายวัด
๔. คุ้มที่ทายาทมอบให้ทางราชการ แต่ถูกรื้อไปแล้ว
๕. คุ้มที่ทายาทขายให้คนอื่น และถูกรื้อไปแล้ว เหลือแต่รูปภาพ และ
๖. คุ้มที่เหลือแต่ภาพ
![](http://www.chiangmai-thailand.net/grand_palace/ID_487_1.jpg)
หอคำที่เหลือแต่ภาพ
การที่คนไทในบริเวณหุบเขาต่าง ๆ คือ ไทยวน (คนเมืองใน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงตุง ในพม่า )
ไทลื้อ ไทยอง ไทใหญ่ ไทเขิน และไทอาหม มีคำใกล้เคียงกัน ก็สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญ ๔ ข้อคือหนึ่ง ความเป็นมาที่คล้ายคลึงกันเพราะอยู่ใกล้เคียงกันและรับอิทธิพลเดียวกันและสอง คนไทสยามอยู่ใกล้เขมร ชื่นชมและยอมรับอารยธรรมเขมรและอินเดียคนไทสยามจึงรับอารยธรรมเหล่านั้นมา เป็นของตน และเมื่อสามารถสร้างอาณาจักรไทยได้ และเข้ายึดครองรัฐของคนไทกลุ่มอื่น ๆ รัฐไทสยามจึงขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรม
ของเขมร – อินเดียไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ คำที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่นจึงเลือนหายไป แทบไม่มีใครรู้จัก ขณะที่คำจากไทสยามและวัฒนธรรมสยามเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศสาม การที่กลุ่มคนไทส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขา มีวัฒนธรรมร่วมกันค่อนข้างมาก และวัฒนธรรมเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงช้าด้วยสภาพภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว อาจสะท้อนให้เห็นรากเหง้าหลายประการที่คนไทในอดีตเคยมี แต่เนื่องจากกลายเป็นเมืองขึ้นหรือสิ้นไร้อำนาจการเมือง วัฒนธรรมจึงถูกละเลยและทำลายตามไปด้วย และสี่ การที่คนกลุ่มใดก็ตามจะอวดอ้างความเป็น “ไท” หรือ “ไทย” และโฆษณาศิลปวัฒนธรรมของคนไทกลุ่มอื่น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรและสร้างความเสียหายให้แก่วัฒนธรรมและคน “ไท” มากขึ้นเรื่อยๆ
ในภาพเป็นหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศ ในราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์
พระเจ้าอินทวิชยานนท์ โปรดให้รื้อถวายวัดพันเตา
หอคำของกษัตริย์เชียงใหม่
เมื่อ พญามังรายยกทัพเข้าโจมตีและยึดเมืองหริภุญไชยได้ในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ หลังจากนั้นจึงมาสร้างเวียงกุ๋มคาม (กุมกาม) ในปี พ.ศ. ๑๘๓๗ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสารภีในปัจจุบันและมาสร้างเวียงเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์ อำนาจบนลุ่มแม่น้ำปิงในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์อำนาจของรัฐล้านนาซึ่งรวมเอาลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำปิงเข้าด้วยกันกระทั่งสามารถแผ่อิทธิพลไปถึงลุ่มแม่น้ำวัง ยม และน่าน กลายเป็นรัฐที่เข้มแข็งที่สุดในบริเวณหุบเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำคง (สาละวิน)การที่พญามังรายมิได้อาศัยเมืองหริภุญ ไชยเป็นศูนย์อำนาจของรัฐใหม่หลังจากที่ยึดได้แล้ว มิได้อาศัยเวียงเจ็ดลินและเวียงสวนดอก (ซึ่งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และรอบ ๆ ในปัจจุบัน) แต่ได้สร้างเมืองใหม่อีก ๒ เมืองคือ เวียงกุ๋มคาม และ เวียงเชียงใหม่ ย่อมต้องมีเหตุผลบางประการที่ควรศึกษาค้นคว้าต่อไปใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (ปริวรรตโดยอรุณรัตน์ วิเชียรเขียวและเดวิด วัยอาจ, ๒๕๔๐) พญามังรายได้สร้างอาคารต่าง ๆ หลายหลังได้แก่หอนอน ราชวังคุ้มน้อย โรงคัล (สถานที่เข้าเฝ้า) โรงคำ (ท้องพระโรงที่เสด็จออกราชการ) เหล้ม (พระคลังมหาสมบัติ) ฉางหลวง (ที่เก็บเสบียง) โรงช้าง โรงม้า ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ในบริเวณหอคำดังนั้น คำว่าหอคำ จึงอาจหมายถึงเฉพาะหอที่ประทับ หรือบริเวณทั้งหมดที่เป็นของกษัตริย์ก็ได้ต่อมาภายหลัง เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร-อินเดียที่ไทสยามรับเข้ามาเผยแพร่ บวกกับคำบาลี-สันสกฤตที่เข้ามาทางวัฒนธรรมพุทธศาสนา
คำใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการด้านภาษาอีกด้านหนึ่ง สะท้อนว่าอำนาจของผู้หกครองย่อมเพิ่มขึ้นได้ด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่นด้านภาษา และศิลปวัฒนธรรม เป็นต้นใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่คำว่า หอคำ ไม่เพียงแต่หมายถึงที่ประทับหากยังเป็นคำเรียกพระนามของกษัตริย์บางพระองค์ เช่น คำว่า “สมเด็จพระเป็นเจ้าหอคำลคอน” (ลำปาง) ส่วนในงานของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท) เจ้าฟ้าของรัฐต่าง ๆ ในเขตฉาน ไม่ว่าจะเป็นคนไทเขินหรือไทใหญ่ ก็มีคำว่า “เจ้าหอคำ” “ขุนหอคำ” ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับคนอยุธยา มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าปราสาททอง”
![](http://www.chiangmai-thailand.net/grand_palace/DSC08608.jpg)
ซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าเชียงใหม่
เวียงแก้ว – เวียงของกษัตริย์เชียงใหม่
เวียงแก้ว คือ เวียงของกษัตริย์ หมายถึง เขตพระบรมมหาราชวังของรัฐสยามนั่นเอง เมื่อเป็นเวียงก็ย่อมหมายถึงมีกำแพงล้อมรอบเวียงแก้วของเวียงเชียงใหม่ตั้งอยู่ใน เขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ ภายในเวียงแก้วมีหอคำอันเป็นที่ประทับ หอกลอง โรงคัล โรงคำ เหล้ม และอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วเวียงแก้ว ในที่นี้จึงมีความหมายกว้างกว่าคำว่าหอคำ เพราะเวียงแก้วรวมอาคารทั้งหมดไว้ภายในคำว่า แก้ว เป็นสิ่งของมีค่า ต่อมาจึงกลายเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ดี มีคุณค่าคำนี้จึงนำไปใช้กับสิ่งอื่นที่มีคุณค่า เช่น นางแก้ว เมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ลูกแก้ว (ลูกชายที่ออกบวชเป็นสามเณร ส่วนบริเวณรอบพระเจดีย์ ก็เรียกว่า “ข่วงแก้ว”จากประตูช้างเผือก ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือ อันเป็นเดชเมือง (หนึ่งในทักษาเมือง) บริเวณต่อจากนั้นจะเป็นที่โล่งกว้าง เรียกว่า “ข่วงหลวง” หรือ “สนามหลวง” เวียงแก้วจึงอยู่บริเวณใกล้ ๆ เขตหัวข่วง ที่ปัจจุบันคือวัดหัวข่วง ด้านทิศตะวันตกคุกในหอคำคุกหรือที่คนเมืองเรียกว่า “ คอก ” ซึ่งมีไว้เพื่อจองจำนักโทษทั้งหลาย เอกสารในอดีตชี้ให้เห็นว่าคุกตั้งอยู่ในคุ้มหลายแห่งมิใช่มีคุกเดียวในคุ้ม เดียว และมิใช่ว่าคุกมีเฉพาะในหอคำเท่านั้นหมายความว่าเจ้าหลวงและเจ้าายในอดีตมี อำนาจมากสามารถจับกุมคุมขังไพร่ที่ฝ่าฝืนคำสั่งหรือกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธร รมของยบ้านเมือง หรือไม่พอใจไพร่ทาสบางคนด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อจับกุมคุมขังนักโทษ จึงต้องมีคุกไว้ วิธีการในสมัยก่อนก็คือสร้างคุกภายในบริเวณคุ้ม เพราะแต่ละคุ้มมีทหารและข้าราชบริพารคอยดูแลอยู่แล้ว ก็เพิ่มภาระให้ทหารเหล่านั้นดูแลคุกอีกอย่างหนึ่ง หรืออาจเพิ่มจำนวนทหารเพื่อทำหน้าที่ดูแลตรวจตราคุกเป็นพิเศษแรกเริ่มอาจเป็นห้องใดห้องหนึ่งโดยเฉพาะ ต่อมานานเข้า หรือเห็นว่านักโทษต้องมีสถานที่ลงโทษพิเศษ ก็อาจมีการสร้างอาคารเฉพาะหรือขุดดินลงไปให้นักโทษอยู่เพื่อยากแก่การหลบหนีคุกกลาง หรือ คุกหลวงน่าจะหมายถึงคุกที่คุมขังนักโทษด้วยศาลลูกขุนที่แต่งตั้งโดยเจ้าหลวง เป็นคุกที่คุมขังนักโทษที่ทำผิดต่อรัฐหรือต่อบ้านเมือง หรือต่อบุคคลที่ผู้นำระดับเจ้าหลวงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงมาดูแล เอง ส่วนคุกที่อยู่ภายในของแต่ละคุ้มเป็นคุ้มเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะภายในคุ้มนั้นนั่นเอง เช่น ลักเล็กขโมยน้อย หรือไพร่ทาสภายในคุ้มทะเลาะตบตีกัน เป็นชู้กัน หรือทำงานไม่เป็นที่พอใจของเจ้านาย หรือเจ้านายไม่ชอบใจไพร่ทาสบางคน ฯลฯอำนาจอันล้นฟ้าในระบอบศักดินาทำให้เจ้า หลวงและเจ้านายสามารถสั่งจับกุมคุมขังใครก็ได้อยู่แล้ว ในเมื่อทายแก้ต่างก็ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีชัดเจนในหลายกรณี จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจมีธรรมะเพียงใด และไพร่ทาสแข็งแกร่งมีอำนาจต่อรองระบบที่กดขี่ขูดรีดได้แค่ไหนเช่น จากเอกสาร “คอกในคุ้ม คุ้มในคอก” ของสมโชติ อ๋องสกุล (๒๕๔๕) ในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงหรือเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ในราชวงศ์กาวิละ
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๔๐) คุกของเมืองเชียงใหม่ (อาจารย์สมโชติใช้คำว่าคุกที่เป็นทางการ ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเหมือนกับคำว่าคุกกลาง หรือ State prison
มิใช่คุกของเจ้านายองค์ใดองค์หนึ่ง) อยู่ในคุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ คุ้มนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณสถานีตำรวจกองเมืองบนถนนราชดำเนินในปัจจุบันเมื่อเจ้าอุปราชบุญทวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้ใช้คุกในคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) เป็นคุกทางการ คุกนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณกลางเวียง เจ้าบุรีรัตน์ผู้เคยเป็นแม่ทัพปราบกบฏพญาผาบที่อำเภอสันทรายในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๓ น่าเชื่อว่าครั้งนั้นเมื่อชาวนากบฏจำนวนมากถูกจับกุมกบฏชาวนาจาก สันทราย ดอยสะเก็ด สันกำแพง สารภี และ หางดงที่ถูกจับกุมในกรณีกบฏดังกล่าวถูกนำมาคุมขังที่นี่ก่อนการประหารเรื่องนี้สามารถสืบได้ว่าคุกในกรุงเทพฯ และอยุธยาตั้งอยู่ที่ใด มีการคลี่คลายอย่างไร แต่สำหรับคุกในสมัยราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ที่มีหลายแห่งภายในคุ้มต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงและข้อสังเกตบางประการ ดังต่อไปนี้ประการแรก การที่เจ้าอินทวิทชยานนท์ใช้ทุกในคุ้มของเจ้านายบางองค์เป็นคุกทางการหรือ คุกกลางน่าจะแสดงว่า คุกในหอคำไม่มี อาจจะด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้สิ่งไม่ดีอยู่ในหอคำ ด้วยหวั่นเกรงอันตรายหรือความสกปรก ฯลฯ ขณะเดียวกันก็แสดงว่าเจ้าายเจ้าของคุ้มมที่คุกนั้นเป็นคุกกลางเป็นบุคลที่ เจ้าหลวงไว้ใจ ว่าจะต้องมีระบบการป้องกันนักโทษหลบหนีอย่างดีประการที่สอง การที่คุกอยู่ในคุ้มใดคุ้มหนึ่งหรือหลายคุ้ม ย่อมสะท้อนให้เห็นระบบการบริหารราชการอย่างง่าย การจัดแบ่งหน่วยงานยังไม่หลากหลาย กล่าวคือ ระบบการบริหารดังกล่าวมิได้จัดตั้งคุกเป็นพิเศษ เช่น ตั้งอาคารอยู่นอกกำแพงเมืองหรือแบ่งเขตรั้วให้ชัดเจน มีเจ้าหน้าที่ดูแลชัดเจนตามหน่วยราชการที่ตั้งขึ้นดังที่ได้กล่าวแล้ว การมีคุกอยู่ในคุ้มก็อาศัยทหารภายในคุ้มนั่นเองทำหน้าที่ดูแลนักโทษในคุก อยู่ไม่ไกลจากสายตา ดูแลง่าย ไม่ต้องเพิ่มกำลังพลเพื่อดูแลเฉพาะคุกประการที่สาม มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นักโทษในแต่ละคุ้มมีจำนวนไม่มากนัก จึงถูกคุมขังไว้ในแต่ละคุ้ม เพราะถ้าหากมีมากมาย ก็ย่อมมีความจำเป็นที่รัฐจะต้องคิดถึงการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อดูแลควบ คุมนักโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพกล่าวโดยสรุป หอคำเป็นพระราชวังของกษัตริย์เมืองเชียงใหม่และเมืองต่าง ๆ ของคนไทยหลายกลุ่มหลายเมืองในบริเวณหุบเขาตั้งแต่ล้านนาขึ้นไป ส่วนเวียงแก้วแสดงให้เห็นบริเวณหอคำที่มีกำแพงล้อมรอบชัดเจน และคุ้มแต่ละแห่งมีคุกอยู่ภายในเพื่อคุมขังนักโทษ แต่คุ้มหลวงหรือเวียงแก้วหรือหอคำนั้นไม่มีคุก แต่คุกกลางอยู่ในคุ้มบางแห่งที่เจ้าหลวงชอบ …
ขอบคุณที่มา : http://www.chiangmai-thailand.net
ลำดับกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา
กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา
พญามังรายได้ทรงกระทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองอาณาจักรล้านนา ซึ่งต่อมาได้เป็นอาณาจักรไทยทางเหนือสุดของแผ่นดินสยามมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีกษัตริย์ราชวงศ์มังรายปกครองต่อเนื่องกันมารวม18 พระองค์ คือ
1. พระเจ้ามังรายมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์ แห่งเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1839 – 1860
2. ขุนคราม ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1860 – 1861
3. พระเจ้าแสนภู ซึ่งเป็นราชนัดดาของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1861 – 1862
4. ขุนเครือ ซึ่งเป็นราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้ามังรายมหาราชขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1862 – 1863 ในช่วงระหว่างนี้ได้เกิดศึกแย่งชิงราชบัลลังก์กัน ระหว่างราชโอรสของขุนคราม 2 พระองค์ จึงทำให้พระเจ้าน้ำท่วมได้ขึ้นครองราชย์แทน
5. พระเจ้าน้ำท่วม ได้ขึ้นครองราชย์ปกครองเมืองเชียงใหม่เมื่อปีพุทธศักราช 1863 – 1867 แต่ต่อมาพระเจ้าแสนภูก็ได้กลับมาปกครองเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2 ในระหว่างปีพุทธศักราช 1867 – 1871
6. พระเจ้าคำฟู ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าแสนภู ได้ขึ้นครองราชย์เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 1871 – 1877
7. พระเจ้าผายู ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าคำฟู ก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 1877 –1910
8. พระเจ้ากือนา ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าผายู ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1910 – 1931 ในช่วงเวลานี้ได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ดอยสุเทพขึ้น
9. เจ้าแสนเมืองมา ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ากือนา ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 1931 – 1954
10. เจ้าสามฝั่งแกน ซึ่งเป็นราชโอรสของเจ้าแสนเมืองมา ก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 1954 – 1985
11. พระเจ้าติโลกราช ซึ่งเป็นราชโอรสของเจ้าสามฝั่งแกน ได้ขึ้นครองราชย์เมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 1985 –2030
12. พระเจ้ายอดเชียงราย ซึ่งเป็นราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา เมื่อปีพุทธศักราช 2030 – 2038
13. พระเจ้าเมืองแก้ว ซี่งเป็นราชโอรสของพระเจ้ายอดเชียงรายก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในปีพุทธศักราช 2038 – 2030
14. พระเจ้าเมืองเกษกล้า ซึ่งเป็นพระอนุชา (น้อง) ของพระเจ้าเมืองแก้วได้ขึ้นปกครองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2068 – 2081
15. พระเจ้าซาวคำ ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าเมืองเกษเกล้าก็ได้ขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2086 – 2089 เป็นเวลาเกือบ 4 ปี
16. พระเจ้าไชยเชษฐา ซึ่งเป็นกษัตริย์จากอาณาจักรล้านช้างและเป็นราชนัดดาของพระเจ้าเมืองเกษเกล้า ก็ได้มาปกครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2089 – 2091 ครั้นเมื่อพระองค์กลับไปปกครองอาณาจักรล้านช้าง จึงได้นำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ไปด้วย
17. พระเจ้าเมกุฏิวงศ์ ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ มังรายอีกพระองค์หนึ่งที่ชาวเชียงใหม่ได้ไปอัญเชิญมาจากเมืองหน่าย ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐไทยเดิมของพม่า ให้มาปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2094 – 2107
18. พระนางวิสุทธิราชเทวี นับเป็นเชื้อพระวงศ์มังรายองค์สุดท้ายที่ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2107 – 2121
เมืองเชียงใหม่ได้ถูกพม่าข้าศึกยกกองทัพเข้าบุกยึดเมืองเอาไว้ได้ จากนั้นพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าก็ได้ส่งคนมาปกครองเชียงใหม่ นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2121 มาจนถึงปีพุทธศักราช 2317 โดยมีลำดับผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ทั้งจากเมืองพม่าและจากหัวเมืองไทยที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของพม่าดังนี้
1. สาวถีนรตรา มังซอศรี หรือมังนรธาช่อ ได้เข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 2122-2150
2. พระช้อย ปีพุทธศักราช 2150-2152
3. พระชัยทิพ (มองกอยต่อ) ปีพุทธศักราช 2152-2154
4. พระช้อย (ได้ครองราชย์ครั้งที่ 2 ปีพุทธศักราช 2154-2157)
5. เจ้าเมืองน่าน ปีพุทธศักราช 2157-2174
6. พระยาหลวงทิพเนตร ปีพุทธศักราช 2174-2193
7. พระแสนเมือง ปีพุทธศักราช 2198-2206
8. เจ้าเมืองแพร่ ปีพุทธศักราช 2206-2215
9. อุปราชอึ้งแซะ (กรุงอังวะ) ปีพุทธศักราช 2215-2228
10. บุตรเจ้าเจตุกา (เจพูตราย) ปีพุทธศักราช 2225-?
11. มังแรนร่า ปีพุทธศักราช 2250-2270
12. เทพสิงห์ ปีพุทธศักราช 2270-2270
13. องค์คำ ปีพุทธศักราช 2270-2302
14. เจ้าจันทร์ ปีพุทธศักราช 2302-2304
15. อดีตภิกษุวัดดวงดี (เจ้าขี้หุด) ปีพุทธศักราช 2304-2306
16. โป่อภัยคามินี ปีพุทธศักราช 2306-2312
17. โป่มะยุงง่วน ปีพุทธศักราช 2312-2317
ในขณะที่พม่าเปลี่ยนผู้ปกครองเข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่บ้าง และแคว้นไทยทางเหนือเข้ามาปกครองบ้าง ในปีพุทธศักราช 2310 ทางกรุงศรีอยุธยาก็ได้เสียให้แก่พม่าเช่นกัน ในช่วงระยะนั้นบ้านเมืองเกิดสับสนอลหม่าน อยู่ในลักษณะบ้านแตกสาแหรกขาด พระยาวชิรปราการ (ตากสิน) จึงได้นำทหารจำนวนหนึ่ง ตีผ่าวงล้อมของพม่าหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ จนสามารถรวบรวมกำลังกลับมากู้อิสรภาพคืนจากพม่าได้อีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังที่ได้ตั้งกรุงธนบุรีและปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ได้ยกกำลังกองทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่คืนจาสกพม่าได้เด็ดขาด ในปีพุทธศักราช 2317 นับแต่บัดนั้นมา เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาก็ได้ตกเป็นของไทยมาโดยตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไทรงสถาปนาพระยากาวิละเป็นเจ้าครองนครเชียงใหม่ ทรงยกฐานะเป็นเจ้าประเทศราชเสมอด้วยเจ้าผู้ที่ครองนครเวียงจันทน์ขณะนั้น
เจ้ากาวิละจึงเป็นผู้ครองนครเชียนงใหม่ อันดับที่ 1 (ระหว่างปีพุทธศักราช 2325-2356) เป็นราชโอรสของเจ้าชายแก้ว ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่ 2 ของพระยาสุละวะฤาไชยสงคราม (หนานทิพช้างผู้ครองนครลำปาง) ดังนั้น เจ้ากาวิละจึงเป็นหลานของกนานทิพช้างวีรบุรุษแห่งนครลำปางต้นตระกูล ณ ลำปาง ณ ลำพูน ณ เชียงใหม่ ทุกวันนี้
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ 2 ได้แก่ “เจ้าน้อยธรรมลังกา” หรือเจ้าช้างเผือก (ระหว่างปีพุทธศักราช 2358-2364) เป็นอนุชาเจ้ากาวิละ (และเป็นโอรสเจ้าชายแก้วองค์ที่ 3)
ต่อมา เจ้าคำฝั้นซึ่งเป็นอนุชาของเจ้ากาวิละอีคนที่ได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ 3 ซึ่งเรียกกันอย่างสามัญว่า เจ้าหลวงเศรษฐี (เป็นโอรสองค์ที่ 8 ของเจ้าชายแก้ว) ระหว่างปีพุทธศักราช 2366-2368
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ อันดับที่ 4 ได้แก่ เจ้าหลวงวงศา หรือ เจ้าหลวงแผ่นดินเย็น ในระหว่างพุทธศักราช 2369-2389 เจ้าหลวงพุทธวงศานี้เป็นโอรสของเจ้าพ่อเรือนโอรสองค์ที่ 5 ของเจ้าพระยาสุละวะฤาไชยสงคราม(หนานทิพช้าง) (หรือนัยหนึ่งเป็นอนุชาของเจ้าชายแก้วโอรสองค์ที่ 2 ซึ่งเป็นพระบิดาของเจ้ากาวิละนั่นเอง) หากจะเรียกแบบสามัญชนก็คือ เจ้าหลวงพุทธวงศาเป็นบุตรผู้น้อง
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อันดับที่ 5 คือ พระเจ้ามโหตรประเทศ หรือ พระยามหาวงศ์ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ระหว่างปีพุทธศักราช 2399-2413
เจ้าเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 6 เป็นโอรสองค์ที่ 2 ของเจ้ากาวิละ คือ พระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ สามัญชยเรียกว่า เจ้าชีวิตอ้าว ครองเมืองเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2399-2413
เจ้าเมืองเชียงใหม่อันดับที่ 7 คือ พระเจ้าอินทวิชานนท์ หรือ พระบิดาแห่งพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ครองเมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2416-2439
เจ้าผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 8 คือ พระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เป็นเจ้าโอรสของเจ้าอินทวิยานนท์ และเป็นพระเชษฐาของพระราชชายา พระเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ 5 พระองค์ครองเมืองเชียงใหม่ในระหว่างปีพุทธศักราช 2444-2452
และเจ้าผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่ อันดับที่ 9 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร คือ เจ้าแก้วนวรัฐ โอรสของเจ้าอินทวิชยานนท์ และเป็นอนุชาของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ได้ครองนครเชียงใหม่ ในระหว่างปีพุทธศักราช 2454-2482 ซึ่งเป็นอันสิ้นสุดตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาตั้งแต่บัดนั้น โดยเปลี่ยนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแทนในปัจจุบัน
[แก้]
ที่มา: www.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรล้านนา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)