ค้นหาบล็อกนี้

5/24/2553

เรื่องของในหลวง ที่อ่านทีไรก็ยิ้มทุกที



เรื่องขำขำ ในหลวงของเรา
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนิน
แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง
ไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่า
ทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้าน
ห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกัน
อย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
"วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..
ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว"

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร
ในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและ
ทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
"วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง
คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง
พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"
ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"
(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง
พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได
รีบลงมาก้มกราบ

ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้
แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"


เหตุการณ์เมื่อปี 2513
วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ
ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปู
สำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจน
มีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงทำท่าเสวย
แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า

"
ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

..................................................................

"สามร้อยตุ่ม"

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง
ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."
---------------------------------------

ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯ
(คนนั้นแหล่ะไม่อยากจะเอ่ย)
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร

ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้
หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"

ท่านพูดเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น
ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าพระองค์ท่านตอบได้น่ารักมาก

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ
จึงทรงทราบความลำบาก ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย

.....
ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ
เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ

.....
บางคนหลับยามไม่พอกดคีย์ ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย

.....
บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็นการแก้เหงา ก็มี

.....
ที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ
ในยามดึกวันหนึ่ง .....พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถ
หาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร
จึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า

"
โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้"

------------------------------------------------------------

- ทรงพระนามว่าเกาะช้าง
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม
ข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า เกาะนั้นชื่ออะไรข้าราชการทูลตอบว่า เกาะนั้นทรงพระนามว่า
เกาะช้างพะย่ะคะตรัสว่า ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ” (ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ)
- ส่งเสี่ยกลับวัง
เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปร พระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง
และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า
ไปไหมเสี่ยปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล
โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ
เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร

-----------------------------------------------------

"เหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล" มีใจความว่า..
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล
ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย
จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย
จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า
เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร

เรื่องนี้มีตำนาน เชิญอ่าน
20 ปีก่อน ราวพุทธศักราช 2524 แรกครั้ง
พระจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งญี่ปุ่น ยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นมกุฎราชกุมาร
ได้ส่งปลานิลทางเครื่องบินจำนวน 100 ตัวมาทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ปรากฏว่า เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย ปลาตายเกือบหมด เหลือรอดแบบใกล้ตายเพียง 10 ตัว
ในหลวงทรงเป็นห่วงเป็นใยปลานิลเหล่านี้ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำ ไปไว้ในพระที่นั่ง ทรงเลี้ยงอย่างประคบประหงม ให้อาหารด้วยพระองค์เอง จนปลานิลทั้ง 10 ตัวรอดชีวิต
แล้วปลานิลทั้ง 10 ตัว ได้สนองพระเดชพระคุณแพร่พันธุ์ไปอีกมากมาย
ตามพระราชประสงค์เป็นอาหารคนไทย 62 ล้านคน มาจนถึงทุกวันนี้


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


ที่มา : สาระแนดอทคอม
Thank : FW-Mail

5/22/2553

หมวดตี้

บ้านเมืองเริ่มสงบแล้ว ค่อยดีขึ้นหน่อย มานั่งทบทวนดูการทำงานของแต่ละฝ่ายแล้วทำให้นึกถึงตำรวจ(มะเขือเทศ) ช่วงที่เหตุการณ์ปะทะรุนแรง บทบาทของตำรวจมีมากเหมือนกัน ไม่ว่าจะยืนดูคนปล้นสดมภ์ ยืนดูคนเผาตึก ยืนดูตึกไฟไหม้ จนถึงตอนส่งโจรกลับบ้าน เราเองไม่รู้หรอกว่าในใจเค้าคิดอย่างไร หรือ หน้าที่เค้าที่ได้รับมาเป็นอย่างไร จึงไม่เข้าใจอย่างแท้จริงกับสิ่งที่ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นทำ แต่เมื่อภาพมันฟ้องออกมาอย่างนั้น เราเองก็ได้แต่เกิดคำถาม??
พอนึกถึงตำรวจ ก็นึกถึงนายตำรวจคนนึง ที่เราชื่นชมในความดีของเค้า นายตำรวจที่ภูมิใจในหน้าที่ของเค้า แล้วจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงสุด
"วันนี้อยู่ดูโลกให้โสภิญ พรุ่งนี้ชีวินสิ้น ไม่รู้..วันตาย" คติเตือนใจผู้หมวดหนุ่มผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ หมวดตี้...ร.ต.ต. กฤตติกุล บุญลือ นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลในวัยเพียง 24 ปี ซึ่งเสียชีวิตในวันเกิดของตัวเอง จากการปะทะกับกลุ่มโจรใต้

หลายๆคนหลงรักผู้หมวดคนนี้ จากความน่ารักของเค้าที่ปรากฎในไดอารี่ของหมวดhttp://polize.diaryis.com/จากอุดมการณ์แห่งหน้า่ที่และความจงรักภักดีต่อสถาบัน หลายๆข้อความของหมวดที่ปรากฏในไดอารี ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของเราทุกคนรู้สึก และมีความคิดเช่นเดียวกับหมวดตี้ ความเสียหายของบ้านเมืองอาจจะไม่มากมายเท่านี้
มีประโยคหนึ่งของหมวดตี้ที่อยากจะพูดตะโกนดังๆใส่หน้าเจ้าหน้าที่หลายๆคน "กินอุดมการณ์มันไม่อิ่มหรอกครับ แต่มันอิ่มใจ และอิ่มกว่ากินเงินของประชาชน" ฟังแล้วนึกถึงเจ้าหน้าที่หลายคนที่คอยแต่เบียดเบียนประชาชน บางคนอายุปูนไหนแล้ว ยังคิดไม่ได้

"เงินที่ถูกกฏหมาย แม้มันจะน้อย แต่มันสบายใจครับ" (หมวดตี้ 28 มีนาคม 2551)



"การรบ ไม่ได้ใช้แต่ความรุนแรง
คนที่นี้ ไม่ใช่โจรทั้งหมด
เราต้องแยก คนดี คนเลว
ต้องมีบู๊ มีบุ๋น มีลูกล่อลูกชน
นี่แหละ คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้
ทำดี กับคนดี
ทำเลว กับคนเลว
ทำหล่อ กับคนสวย (อันนี้ขำๆ)
ดึงมวลชน ยากกว่าไปยิงคนให้ตายอีก

ด้วยหน้าที่ชีวติรับผิดชอบ
คือคำตอบที่คงอยู่มิรู้สิ้น
ความภูมิใจลึกล้ำดั่งอาจิณต์
รักแผ่นดินรักเกียรติศักดิ์ นักรบไทย" ( หมวดตี้ 5 เมษายน 2551)


คุณงามความดีของหมวดตี้ ทำให้นึกถึงคนไทยวันนี้จริงๆ
อยากให้คนไทย รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างผู้ชายคนนี้จริงๆ "ฉีเทียนต้าเซิ่น แห่งเขาฮัวกัวซาน"



5/20/2553

พฤษภาวิปโยค!!!

19 พฤษภาคม 2553!!!!
วันนี้กลายเป็นอีกวันในหน้าประวัติศาสตร์(อันเลวร้าย)ของไทยไปแล้ว
กับสิ่งที่สูญเสียไปมากมาย หากเป็นวัตถุ หรือทรัพย์สิน อาจประเมิณค่าได้ และอาจจะสร้างกลับคืนมาได้ แต่ความสูญเสียทางจิตใจ และความทรงจำ อาจยากที่จะได้กลับคืน!!