ค้นหาบล็อกนี้

6/10/2558

หนีลูกเที่ยว โซล-อินชอน 4วัน 3 คืน


                      
                   ทริปโซล - อินชอน รอบนี้วางแผนแบบ งงๆ มึนๆ เพราะจริงๆเริ่มแรกตั้งโปรแกรมว่าจะเริ่มจากปูซาน เนื่องจากตอนที่ไป คุณสามีทำงานที่ปูซาน เลยตั้งใจจะไปเที่ยวที่นั่นเลย แต่ด้วยวางโปรแกรมแค่ระยะสั้น เพราะกลัวว่าจะทิ้งชายพัตเตอร์ไว้กะคุณยายนานไป เลยตกลงปลงใจเที่ยวแค่โซล 2 วัน แล้วก็มาพักที่อินชอนอีกวัน ให้คุณสามีนั่ง KTX มารอที่สนามบินอินชอนเลย ส่วนที่เที่ยวไม่ได้วางว่าไปไหน เพราะคนนึงก็อยู่เกาหลีมาไม่รู้กี่ปี ส่วนเราก็เคยไปเที่ยวมาแล้ว เลยคิดไว้ว่าคงเที่ยวชิลๆ ไม่ได้ตั้งใจไปไหนมากมาย

                    เริ่มแรกสุดก็เหมือนเดิม จัดการจองตั๋ว แต่จองแยกขา เพราะขาไปแค่ 1คน แต่ขากลับมา 2คน ขาไปจองของ TAAX ได้ที่ราคา 4 พัน ส่วนขากลับจองแบบกระชั้นชิดของ AK ได้ที่ 6 พันกว่าต่อคน แต่ต้องไปทรานเฟอร์ที่ KUL เนื่องจากถ้าบิน XJ ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 3 พันต่อคน เสียดายตังค์ ยอมเสียเวลาต่อเครื่องเลย

วันแรก (17-11-14) 
มาถึงสนามบิน ตี 5 หาไรทานที่สนามบินเลย ไฟลท์ XJ700 ออกจากดอนเมือง 8.05 AM คะ กำหนดถึงอินชอน 15.30 PM ใช้เวลาบินโดยประมาณ 5 ชม.คะ (เกาหลี -2 ชม.)  รอบนี้จองที่นั่งโซนเงียบ ค่าที่นั่ง 350 บาท แต่เงียบจริงๆ มีไฟสีฟ้าๆชวนง่วง พอขึ้นเครื่องได้หลับอย่างเดียวเลยคะ เนื่องจากกินเหล้ายันเกือบเช้า55555(คิดถึงหนังเรื่องกวนมึนโฮเลยป่ะหล่ะ) แอบเกรงใจคุณลุงข้างๆ ดีว่าไม่ถึงกะนั่งติดกัน ยังดีว่าเว้นว่างไว้1ที่นั่ง ไม่งั้นลุงคงได้กลิ่นลีโอเต็มๆ (บอกกะตัวเองเลยว่าจะไม่เมาแล้วไปขึ้นเครื่องอีกเด็ดขาด ทรมานมาก เข็ด!!) เพราะอาการเมานั่นเอง เลยไม่เป็นอันทำไร หลับไปตลอดทาง มาตื่นตอนเกือบอินชอนแล้ว ก็ขอใบคำขอเข้าเมือง เขียนๆ 
ตอนเขียนใบคำขอนี่มีเรื่องต้องคิด คิดว่าจะลงเป็น visited หรือ Travel ดี ถ้าลงเป็น visited กลัว ตม.ต้องให้คุณสามีเข้ามารับ ต้องมานั่งรอ เสียเวลาอีก แต่ถ้าลงเป็น Travel ก็แอบหวั่นว่าจะผ่านป่าว เพราะมาเดี่ยวๆ ผู้หญิงคนเดียว แถมพาสปอร์ตเล่มเก่าตอนมารอบแล้วก็อันตธานหายไปกับกระเป๋าตอนรถโดนงัด แต่ด้วยความรีบ อยากเที่ยว กลัวเสียเวลา เลยลงเป็น Travel เอาแบบถ้ามันจะไม่ผ่านก็ค่อยบอกมันว่ามาหาคุณสามี แล้วค่อยสามีมาเซ็นรับเอาละกัน 


น่านฟ้าอินชอน ตอนนี้เตรียม landing แล้ว

15.30 เครื่องลงตรงเวลาเป๊ะ เดินไปรอคุณ ตม. ระหว่างรอก็ Line คุยกะคุณสามีไป พอถึงคิวเรา ก็เดินเข้าไป นางไม่ถามไรเลยแห๊ะ รอบนี้เทคโนโลยีมาละ ใช้ระบบเดียวกับญี่ปุ่นละ มองหน้ามองกล้องสแกนลายนิ้วมือ ผ่าน จบ เออ เยี่ยมเห้ย!! มารอบที่แล้วยังว่ามีถามบ้างว่ามากับใครอะไรยังไง
ผ่านคุณ ตม.มาได้ก็วิ่งตัวปลิ้วออกมา    จ๊ะเอ๋คุณสามีรออยู่เลย อิอิ ไม่เจอกัน 5 เดือน แต่จะกระโดดกอดก็อายเค้า เลยยิ้มเขินๆให้กัน 555555 (ขนาดมีลูกกันละนะ ยังอายกันอยู่เบย คริคริ)


เจอกันปุ๊บ ขอถ่ายรูปคู่หน่อย

      ตอนนี้ก็ถึงเวลาเข้าเมือง ตอนแรกเราตั้งใจนั่งรถไฟฟ้าเข้าไปโซล แต่ด้วยกระเป๋าคุณสามีคะ ของเราไม่เท่าไหร่ แต่ของคุณสามีคือใบบิ๊กบึ้มมาก เกือบ 30 โลได้ ขี้เกียจหิ้วขึ้นลงSubway เลยเปลี่ยนวิธีเป็นนั่ง AirportBus แทน ดูสายที่ไปลง รร.แล้วก็เดินไปซื้อตั๋ว (ถ้าจำไม่ผิดช่องซื้อตั๋วAirportBus จะอยู่ที่ทางออก 4 ชั้น 1) พักที่ไหนลงตรงนั้น รายละเอียดก็ตามนี้เลย http://www.airport.kr/airport/traffic/bus/busList.iia?flag=E  ส่วนเราพักย่าน JongNo3 ก็สาย 6002 เลยจ้าาา
เดินออกมารอรถด้านนอก ตามป้ายเลยคะ ตอนออกมานี่สะดุ้งเฮื้อกใหญ่ เพราะใส่แค่เสื้อคลุมตัวไม่หนามาก แต่ออกมาจากเทอร์มินอลนี่ 3 องศา ครั้นจะแกะกระเป๋ามาค้นเอาโค้ทก็กะไรอยู่นะ ทนๆๆๆๆๆ แปบเดียวไม่เกิน 15 นาทีรถมาละ ระยะเวลาที่ใช้จาก สนามบินอินชอนถึงย่านที่พักใช้เวลาประมาณ 45 นาที พอๆกับรถไฟฟ้าคะ ลงรถเสร็จก็เดินหา รร.อยู่พักนึ่งก็เจอ เราพักย่าน JongNo3 เลือกที่นี้เพราะกลางๆดี ติดกับสถานีรถไฟฟ้า จะเดินไปคังฮวามุนก็ได้ ไปเมียงดงก็ได้ หรือดงแดมุนก็ได้ 
หลังจากเช็คอิน รร.เรียบร้อยก็ออกไปหาไรกินกัน
แน่นอน มื้อแรกต้องหมูเกาหลี 55555 ข้าหนาว ข้าต้องการไออุ่น เดินออกจาก รร.มานิดเดียวก็เจอร้าน นั่งปุ๊บให้สามีจัดการสั่งปั๊บ คุณสามีสปีคเกาหลีเก่งๆๆๆ ชอบๆ  มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่คะ เบียร์สั่งตะหาก5555


ไม่เห็นหมูย่างเล๊ย เห็นแต่ขวดเบียร์ ฮ่าๆๆๆ

เสบียงๆ ซื้อมากินในห้อง

กินเสร็จก็เดินออกมาหาที่เที่ยว ตั้งใจจะเดินไปดงแดมุน แต่ขี้เกียจเดิน หนาวคะ เลยนั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่า **รร.เราอยู่ตรงกลางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีส้ม น้ำเงิน ม่วง แบบสามสายตัดกัน Subway เลยกว้างมาก หาทางลงได้เยอะสบาย วิธีการเที่ยวของเราไม่ให้หลง ส่วนมากชอบจำทางออกของ Subway 
มาถึงดงแดมุน เดินๆ เที่ยวๆ หาดูของก็ไม่รู้ซื้อไร เดินซะจนเมื่อยละ เปลี่ยนมาเดินเลียบคลองเกชอน ก็แสนจะหนาว เดินสัก 1 ชม.ตัดสินใจกลับไปหลับดีกว่า เพลียยย 


เดินเที่ยวเลียบคลองเกชอน หนาวคะหนาว

***ที่ รร.ทุกอย่างควบคุมด้วยรีโมทหมดเลย ไม่ว่าจะระบบเสียง ระบบไฟ ระบบน้ำ คือ งงกะมันคะ รีโมทหลายอัน เลยทำเป็นแค่เปิดปิดทีวี เปิดปิดไฟ 5555555 ทีวีที่นี่จอบึ้มมาก แถมมีคอมให้ตั้งสองตัว (แต่ไม่ได้ใช้เลย) มีจากุดชี่ให้นอนแช่สบายๆ แต่ไม่ได้แช่อะ หลับอย่างเดียวเพลียมาก (สงสัยคืนก่อนไม่ได้นอน เพราะมัวกินเหล้า555)

รร.ที่พักคะ ชื่อ Amare Hotel JongNo


วันที่ 2 (18-11-14) 
ตื่นเช้า (ไม่เช้าเท่าไหร่ 10 โมงเอ๊ง) นั่งรถไฟฟ้าไปโผล่ที่จตุรัสคังฮวามุน เดินหาของกินแถวนั้นหล่ะ จำชื่อถนนไม่ได้ เลือกของกินอยู่นาน ก็มาจบที่ร้านต๊อกโบกิ แต่เรากินไก่!! ซัมเกทัง ไก่ตุ๋นโสมของเกาหลีคะ  ทานเสร็จก็เตรียมเดินลุยต่อ
ซัมเกทัง (ไก่ตุ๋นโสม)

เดินชมนั่นนี่ไปเรื่อยๆคะ ก็อากาศไม่ร้อนอะเนอะ แต่หนาวเอาเรื่องอยู่ แต่ก็เดินได้เรื่อยๆ

 เจอ Larva ตรง Subway Gwanghwamun

 จตุรัส Gwanghwamun อนุสาวรีย์ พระเจ้าเชจง





 เดินไปจนถึงเมียงดง ฮ่าๆๆๆ สวรรค์ข้าน้อยแล้ว ช็อปๆๆๆ สามีตั้งงบให้ 4 แสน (วอน) เดินสิคะ ตั้งหน้าช็อป แต่ปกติจะซื้อของก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยกระหน่ำอะ ก็พองาม ไม่ใช่สามีให้สี่แสนหมดสี่แสนก็ไม่ขนาดนั้น แต่เดินจนเมื่อยอะ เหนื่อยๆ  ก็มานั่งพักที่ร้านกาแฟ นั่งพักประมาณ 1 ชม.สรุปยอดช็อปหมดแสนกว่าเองงงง

พักกินกาแฟ เมื่อยขามากกก

เดินออกร้านกาแฟ มาจะไปขึ้นเขานัมซาน (วิธีง่ายในการหาทางไปคือ ลงไปที่ Subway สถานี เมียงดงคะ หาทางออกหมายเลข 2 พอขึ้นก็ตรงดิ่งเลย แต่เราเดินข้ามถนนมา ไม่ได้ลง Subway) ****ตอนเดินออกมาแอบสั่งเกตซอย แล้วก็ฮา คือเคยมาเมาแอ๋ รั่วๆกะเพื่อนๆตรงซอยนี้พอดี คิดแล้วก็ยังฮา 
เดินข้ามถนนมาก็ตรงดิ่งไปไปขึ้นลิฟท์เพื่อไปขึ้นเคเบิลคาร์ จำราคาขึ้นเคเบิลคาร์ไม่ได้ น่าจะประมาณ 4 พัน/คน พูดถึงเคเบิลคาร์ที่นัมซานทาวเวอร์แล้วคิดถึงหนังเรื่อง F4 ตอนนางเอกกะพระเอกมาติดในเคเบิลคาร์ สวีทๆ แต่ตอนเราขึ้นแม่งมันไม่สวิท มันเบียดเป็นปลากะป๋องแอ่


ทางขึ้นลีฟท์ไปเคเบิลคาร์

ขึ้นมาบนเขาแล้ว หนาววววค้า!! ขนาดว่าคุณสามียังทนไม่ได้ ขุดผ้าพันคอกะเอียมัพมาใส่รัวๆ เดินเที่ยวในทาวเวอร์ ทำนั่นทำนี่ตามธรรมเนียมเค้าไป แต่ก็ล้วนแล้วแต่ใช้เงิน เงินๆ 555555 (มารอบแล้วไม่ได้ล็อคกุญแจ รอบแล้วโสด รอบนี้มีคู่ ใส่มันซะหน่อย อิอิ)
 มาแปะๆโมเสค














 ตอนขึ้นเหมือนไม่หนาวมาก พอลมมาเท่านั้นหล่ะ เปลี่ยนโค้ททันที 
สามีก็ขุดผ้าพันคอกะเอียมัพมาใส่






ไม่ลืมคล้องกุญแจจ้าา

ค่ำแว้ววว กลัวจะมืดเกินไป ลงมาละดีกว่า (เราซื้อตั๋วเคเบิลคาร์แบบไป-กลับ) เดินกลับมาทางเดิม ลงมารถไฟฟ้า กลับมาแถว รร. แล้วก็หาของกิน หิวๆๆ วันนี้ได้กินต้มเนื้อไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้เหมือนเดิม สามีเราสั่งโซจูมาสองขวด 




กะชิวๆเบาๆ แต่ไม่เบาสิคะ สั่งโซจูต่อ ล่อกันสองคนไปเกือบสิบขวด ขากลับสามีหิ้วปีกอิชั้นเลยคร๊าา แต่ยังมีหน้าแวะซื้อโอเด้งกลับไปกินที่ รร.นะ แต่ไม่ได้กินอะ อ้วกหลับก่อน ตื่นมาเห็นเอาตอนเช้า งงว่าตัวเองแวะซื้อโอเด้งตอนไหนวะ555555555

วันที่ 3 (19-11-14)
วันนี้คือวันพักอย่างแท้จริง เนื่องจากแฮงค์จากโซจูเมื่อคืน55555 ตื่นเกือบ 11 โมง เก็บของๆ ออกมาเช็คเอาท์ จริงๆในแพลนมีว่าจะไปเที่ยวต่อในตัวเมืองอินชอน แต่แฮงค์คะ ไม่ไปไหนแล้ว ออก รร.มา เลยขึ้น Airport Bus เหมือนเดิม แต่ยังไม่ได้กลับนะคะ เพราะวันนี้จะไปชิวๆที่อินชอนรอเครื่องอีกวันนึง โซนที่พักไม่ได้อยู่ในเมืองอินชอน แต่เรียกว่าอยู่หลังสนามบินก็ว่าได้ ส่วนมากย่านนี้จะเป็น รร.ที่สร้างมาซัพพอร์ตนักเดินทางที่รอต่อเครื่องหรือกลัวตกเครื่องไฟลท์เช้าๆ (ประมาณนั้นมั้ง) นั่งรถบัสมาถึงสนามบิน ก็เรียกแทกซี่ต่อไปส่งที่ รร. จัดการเช็คอินไรเสร็จก็เดินออกมาหาของกิน แถวนี้อาหารทะเลจะสด ร้านอาหารส่วนมากเป็นอาหารทะเล มื้อเที่ยงเราเลยจัดการสั่งซุปปูมา อร่อยมากๆๆๆ เพราะปูสด เนื้อเลยหวาดฝุดๆ กินข้าวเสร็จไปเดินเล่นดูทะเลแป๊บก็กลับมาหลับ 
 อันนี้ก่อนขึ้น Airport Bus วิญญานยังไม่เข้าร่าง แฮงค์มาก


 มากินซุปปู


 เครื่องเคียง


 อันนี้สามีบอกว่ามันคือปลาร้าเกาหลี แต่ทำจากปลาหมึกตัวเล็กๆ


 หน้าตาซุปปู ตอนนี้โดนครัวกุดจี่ก็อปสูตรมาเรียบร้อย 555


โรงแรมที่พักที่อินชอน

โรงแรมวินเท๊จวินเทจ

ตื่นมาอีกทีมืดแล้ว เลยเดินออกมาหาของกินอีกที ทีนี้ได้ร้านหน้า รร.เลย สั่งซุปหอยมา แอบแพงนะ ชามเกือบ 4 หมื่น สามีบอกว่าคนเกาหลีกินเพราะบอกว่าเป็นยาบำรุง แต่อร่อยอะ กินเสร็จก็ออกมาหาซื้อของกินที่ 7-11 แล้วก็กลับห้อง อาบน้ำ จัดเป๋า หลับ





วันที่ 4 (20-11-14)
วันนี้ตื่นตี 5 อาบน้ำแต่งตัวลงไปทานอาหารเช้าของ รร. พอ 6.30 ก็มีรถมารับ (เราใช้บริการรถรับส่งของ รร. แจ้งเวลาออกตั้งแต่เช็คอิน พอถึงเวลารถก็มารับ บริการนี้ฟรีจ้า)

มาถึงสนามบินก็เช็คอินโหลดกระเป๋า เดินเข้าเกท ตอนผ่าน ตม.นี่ก็รอคุณสามีแปบนึง เพราะนางจะโดนถามหาเอกสารตลอด พวกบัตรกาม่า หนังสือลางานจากเจ้านายบางไรงี้ แต่ก็ผ่านฉลุย 


อยู่บนเครื่องละ สามีหน้าฟินมาก จะได้กลับบ้าน Heคิดถึงลูก 555

เข้ามาในเกทก็เดินหาตุ๊กตา Larva ให้เป็นของฝากลูกๆ ถึงเวลาเครื่องออกตรงเวลา แต่วันนี้ต้องมาทรานสิทที่ KUL (แอบกลัว D7 มันจะดีเลย์เหมือนตอนไปญี่ปุ่น) พอลงเครื่องที่ KUL  ต่อ wifi ได้ เจอข้อความเข้า Line น้องสาวบอกลูกๆไม่สบายหนักทั้งสองคน OH No!!!! เครียดเลย รอเครื่องไปใจไม่ดีไป โชคดีวันนี้ D7 ไม่ดีเลย์คะ มาถึงดอนเมืองตรงเวลา พอลงเครื่องรีบโทรหาคุณยาย คุณยายบอกอาการเด็กๆดีขึ้นบ้างแล้ว ใจดีขึ้นมาหน่อย ก็รอเครื่องต่อมาเชียงใหม่ (ไฟลท์ดอนเมืองเชียงใหม่นี่ไม่เสียตังค์คะ ใช้แต้มแลกเอา ฟินนนน) กลับมาถึงบ้านคุณยาย 5 ทุ่มพอดี๊พอดี เด็กๆหลับหมดแล้ว ไว้รอลุ้นตอนลูกตื่นตอนเช้ามาเจอหน้าพ่อเค้าจะทำหน้ายังไง ไม่เจอกัน 5 เดือน จะตกใจป่าวไม่รุ้!!5555555

5/19/2558

แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน 4 คืน


จริงๆไปมา 1 ปีพอดี๊พอดีแล้วหล่ะ แต่พึ่งว่างและมีแก่ใจมาเขียนรีวิว 5555555
เริ่มเลยละกัน บังเอิญเปิดเจอโปรของ AirAsiaGo ได้โรงแรมพร้อมค่าเครื่องไปกลับ 5วัน4คืน โดยราคารวมแค่ 12000 กว่าๆ เลยโทรชวนเพื่อน แล้วก็โผล่มาได้ 1 คน (เย้ๆ ไม่ได้ไปคนเดียวแล้ว) และด้วยความที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก และไปเอง เลยต้องทำการบ้านเยอะหน่อย โชคดีช่วงที่ไปแจแปนเอลป์เปิดให้ขึ้นพอดี เลยจัดการใส่ไว้ในทริปเลย แล้วเพื่อนก็บอกไหนๆก็ไปญี่ปุ่นละ ขอไปดูสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นหน่อย ต้องไปให้เห็นฟูจิให้ได้ ก็จับมาใส่ไว้ในทริปอีกเช่นกัน จากนั้นก็มาเรียบเรียงเวลา ค่าใช้จ่าย การเดินทาง ที่พัก เพราะต้องจอง รร.เพิ่มจากเมืองที่ไปนอกเหนือจากโปรของ AAGo ระหว่างเรียบเรียงก็ศึกษารายละเอียดของการดำเนินชีวิตในแต่ละเมืองไปด้วย





อันนี้เป็นแพลนคร่าวๆ (ทำเป็นภาษาอังกฤษเผื่อ ตม.ที่ญี่ปุ่นขอดูทริป)




"วันเดินทาง" วันที่ 1 (16-05-14)

ไฟล์เราเป็นแบบต่อเครื่อง (ตอนนั้นTAAXยังไม่เปิด) ต้องไปต่อเครื่องที่KUL  เราเช็คอินแบบ Thru ไปเลย เพราะเวลาทรานเฟอร์น้อย กำหนดการคือเครื่องออกดอนเมือง(D7)ตอน ทุ่มครึ่ง และออกจาก KUL ตอนเที่ยงครึ่ง ถ้าตามนี้เราจะถึงKUL ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง(+เวลามาเลเซียเร็วกว่าเรา1ชม.) แต่ก็นะ เครื่องจากดอนเมืองดีเลย์คร๊าาา กว่าเครื่องจะออกจากดอนเมืองก็เกือบ 3 ทุ่ม คือสรุปแล้วไฟลท์วันนั้นถึง KULเกือบเที่ยงคืน แล้วไงหล่ะ ลงเครื่องได้นี่วิ่งเป็นกระต่ายตื่นเลย กลัวตกไฟลท์ไปชุบุ(เราบินลงสนามบินชุบุคะ) สุดท้ายก็หอบแหกๆพาร่างมาอยู่บนเครื่องไฟลท์AKได้ เครื่องออกจาก KUL เวลาตรงเป๊ะคะ 55555 ............

ท้องฟ้าแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย

รวบรัดตัดตอน หลับบนเครื่องแล้ว มาถึงดินแดนอาทิตย์อุทัยสนามบินชุบุละ (Central Japan International Airport สนามบินนี้อยู่ภูมิภาคชุบุ จังหวัดไอจิ) ที่นี่ลงเครื่องมาก็มารอผ่าน ตม.คะ ระหว่างเดินเข้ามาแอบเห็นมีเครื่องวัดความร้อนเป็นระยะ(คงเป็นระบบสแกนร่างกายคนที่ป่วยอะป่าวหว่า) คิวเยอะมากมาย พอมาถึงคิวเราเจอคุณ ตม.แว่น หน้าตาจุบุ สมกับอยู่หนามบินชุบุ555 พอยื่นพาสปอร์ตให้ ก็หันมองเราแปบ บอกเราถอดแว่น มองกล้อง สแกนลายนิ้วมือ ปั้มๆๆๆๆ แล้วก็เรียบร้อย โอ้ยยย ใครบอก ตม.ยุ่นโหด ออกจะง่ายสบายบรื๊อ

"วันที่ 2" (17-05-14)
ออกจากเกทมาแว้ววว ก็หาซื้อบัตร IC สำหรับใช้เดินทาง ส่วนของภูมิภาคนี้ใช้ Manaca 

แต่ตอนเราไปทุกบัตรทุกยี่ห้อนี่ใช้ร่วมกันได้ทุกภูมิภาคแว้ว (ใครไปโตเกียวจะคุ้นกับบัตร pasmo) นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าตัวเมืองนาโกยา (Meitetsu Railway ) พอถึงก็ต่อรถไฟฟ้าไป รร. เช็คอิน รร.แล้วก็พักแปบนึ่ง จากนั้นก็...........พร้อมตลุย 
บ้านเมืองเค้าสะอาดมาก

หลังจากจัดของออกมากันละ เราแบ่งเสื้อผ้าใส่เป้มาแค่ชุดเดียว เพราะคืนแรกไม่ได้นอนนาโกย่า จะพาตัวเองไปนอนที่ Toyama เพราะเตรียมตัวขึ้น Japan Alp (Tateyama Kurobe Alpine Route)แต่เช้า
ออกจาก รร.มาแล้วก็เดินหาของกินก่อน 


เจอร้านราเม็งใกล้ๆ รร. อร่อยอยู่ (สงสัยหิว) ป้าเจ้าของใจดี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ก็สื่อสารด้วยมือและท่าทาง อยากกินไรก็ชี้ๆเอาในเมนู(ปล.อาหารที่ญี่ปุ่นชามใหญ๋มาก ยังงงผู้หญิงตัวเล็กๆญี่ปุ่นเค้ากินหมดได้ไง)


จากนั้นนั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานีนาโกย่าอีกครั้ง เดินขึ้นมาจากสถานี่ เลี้ยวขวาไปตึกMeitetsu(ตึกที่เรามาจากสนามบินนั่นหล่ะ) ขึ้นไปชั้นสองซื้อตั๋ว HightWaybus ไป Toyama อันนี้ก็ตื่นเต้นอีกหล่ะ คือซื้อตั๋วแบบกระชั้นชิดมาก เหลือเวลา 3 นาทีที่จะวิ่งไปชานชลา แต่เสือกหาชานชลาไม่เจอเพราะชานชลาเยอะมาก (วิ่งเลย รีบเกิน ที่แท้อยู่ข้างจุดขาย) พอหาชานชลาเจอ ประตูชานชลาก็ปิด แล้วเราก็มองรถออกไปด้วยตาปริบๆ555555 เดินคอตกไปที่จุดขาย น้องคนขายยิ้ม แล้วเปลี่ยนตั๋วให้ฟรี เลยต้องรอรถเที่ยวต่อไปอีก 2 ชม.

ระหว่างรอรถบัส

 แต่การตกรถรอบนี้มีเรื่องดีๆคือ พอรถอีกเที่ยวมา ปรากฏว่าเจอคนไทย 2 คน พี่เค้าอยู่ญี่ปุ่น พูดญี่ปุ่นได้ และก็กำลังจะไปที่ Japan Alp (Tateyama Kurobe Alpine Route)เหมือนกัน 555555 เนียนเลย ได้เพื่อนร่วมทริป พอมาถึง Toyama ก็ลงรถแล้วพี่2คนเค้าก็ถามคนขับรถบัสเรื่องสถานีรถไฟที่จะพาเราไป Japan Alp พรุ่งนี้ ลุงคนขับรถก็ใจดีพาเดินมาส่งที่สถานีรถไฟ เราก็ดูรอบรถไฟไว้ จะได้เตรียมตัวออก รร.ถูกตอนเช้า แต่ก็มาเจอพี่ผู้หญิงคนไทยอีก 3 คน จะไปที่เดียวกันเลยพรุ่งนี้ เลยนัดเจอกัน 6.30 เพราะออฟฟิศขายตั๋วเปิด 7.00 นัดแนะกันเสร็จก็ไปตามหา รร. พี่ผู้ชายที่นั่งรถมาด้วยกันก็ช่วยเดินหา รร. แล้วก็รอจนเราเช็คอินหมด แล้วพี่เค้าก็ออกไปหา รร.ของเค้า
พอเข้า รร.แล้วก็ขอพูดถึง รร.หน่อย ที่ญี่ปุ่นนี่ รร.ราคาสักพันนี่ได้ดีเลย ห้องเล็กก็จริง แต่ก็จัดเป็นสัดส่วน อุปกรณ์ทุกอย่างสะอาด คือดีงาม (เคยไปฮ่องกงแล้ว รร.ห่วยมากกกก)



 ที่Toyama กลางคืนก็เงียบๆ เราเดินออกมาหาของกินด้านข้าง รร. อร่อยฟิน





 แล้วก็กลับไปอาบน้ำนอน อากาศเย็นสบาย 10 กว่าองศา อิอิ


วันที่ 3 (18-05-14)
กริ๊งๆ เช้าแล้ว เราตื่นตี4ครึ่ง เปิดม่านที่ห้องมา โอ้ววว พระอาทิตย์ขึ้นล๊าวววว พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วอะ (ตื่นเต้น) อาบน้ำแต่งตัว เก็บของแล้วก็ออกไปที่สถานีรถไฟ 
นาฬิกา 6 โมง ข้างนอกสว่างมาก

มาถึงก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา 
แกงค์ทัวร์บังเอิญ อิอิ

ณ.จุดนี้ทริปเปลี่ยนจากแพลนหน่อย เพราะเดิมทีเรากะว่าขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วกลับลงมาทางเดิม พี่ที่ร่วมทริปแกแนะนำให้ลงอีกฝั่งเลย จะได้เทียวครบทุกจุด ตอนแรกไอ่เราก็กลัว เพราะไม่ได้หาข้อมูลฝั่งนู้นมา แต่สุดท้าย จบที่ว่าพี่เค้าก็กลับนาโกย่าเหมือนกัน55555 เลยตามพี่เค้าเลย เราซื้อตั๋วรวมตั้งแต่สถานี Dentetsu-Toyama จนถึงสถานี Ogizawa ในราคาทั้งหมด 9,490 เยน ตั๋วเป็นลักษณะใบเดียวใช้ได้ทุกจุด (ฉะนั้นห้ามทำหาย เพราะตรวจตั๋วทุกจุด) 
 ตั๋วคะตั๋ว อันนี้อย่าทำหายน๊า
 รถไฟมาแว้ว
ก่อนขึ้นรถ


 วิวระหว่างทาง



 นั่งรถไฟประมาณ 1 ชม. ก็ถึงสถานี Tateyama จากนั้นไปยืนรอต่อแถวขึ้น Cable Car  ใครมาเที่ยวเองก็ไปยืนรอที่ช่อง 1 Individual Gate  มีจอบอกองศาด้านบนแต่ละจุดด้วย ที่นี่จะมี จนท.มาแจกโบชัวร์แนะนำด้วย (มีภาษาไทยด้วยหล่ะ แปลว่าไทยเที่ยวไม่น้อยกว่าชาติใด555) 
สถานี Tateyama
บนเคเบิลคาร์
มีเอกสารแนะนำเป็นภาษาไทยด้วย

มีมอนิเตอร์บอกระดับความสูงและอุณหภูมิแต่ละสถานีด้วย

ถึงสถานี Bijodaira แย้ววววขึ้นมาต่อคิวขึ้น High Land Bus เพื่อที่จะไปสถานี Murodo  นั่งบัสออกมาสักแปบจะเริ่มเห็นหิมากองๆตามข้างทาง เยอะขึ้นๆๆๆๆๆๆๆจนสูงๆๆๆขึ้นเป็นกำแพง
วิวเริ่มสวย


ถึงสถานี Murodo แล้ว อากาศเย็นหล่ะสิ คนเยอะมากด้วยยยย เดินขึ้นไปชั้นสองเดินเล่นลานที่มีแต่หิมะขาวๆ (ต้องเตรียมแว่นกันแดดไปด้วยนะ แสงแดดเมื่อสะท้อนกะหิมะแล้วคือสว่างจ้ามาก) แอบร้อนจากแสงแดด แต่ก็ยังหนาวๆอยู่ 








 เดินลงมาชั้น 1 ออกไปชมกำแพงหิมะ สูงมาก สูงกว่ารถบัสอีกง่ะ สองคนกะเพื่อนนี่ฟินๆๆๆๆ เล่นหิมะกันไป ถ่ายรูปกันไป พอครบเวลานัดกันกับพี่ๆแกงค์ทัวร์จำเป็นของเราก็มารอ พอครบทีม 7 คนก็พร้อมออกสู่สถานีต่อไป 






มาต่อคิวขึ้น Trolley Bus ลอดอุโมงค์ยอดเขา Tateyama ไปสถานี Daikanbo แต่ใช้เวลาแปบเดียวเอง เร็วกว่าตอนต่อคิวอีก55
สถานี Daikanbo เป็นจุดแวะพักที่มีร้านขายของที่ระลึก ซุ้มอาหาร และที่นั่งให้บริการ คนเยอะเหมือนเดิม แต่วิวดีมาก หาอะไรกินเบา เดินดูวิวไป ชิลมาก (สถานีนี้ลืมถ่ายรูป สงสัยมัวหิว555)
สถานีต่อไป เราต้องนั่ง Ropeway ขึ้นไปที่สถานี Kurobedaira แอบตื่นเต้นตอนนั่ง Ropeway อิอิ พอถึงที่สถานี Kurobedaira แล้ววิวสวยมาก




จากนั้นก็ ขึ้นเคเบิลคาร์มาที่สถานี  Kurobeko สถานีนี้เป็นเขื่อน น้ำเขียวมาก


 วิวดี หนาวด้วย ลมแรงมาก เดินไปหาตู้กดกาแฟร้อนกิน อิอิ ด้านในตึกจะมีคำแนะเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนนี้ด้วยหล่ะ 


จากสถานีนี้ ก็ไปขึ้น Trolley Bus ไปที่สถานี Ogizawa สถานีปลายทางจร้า (รถบัสจะวิ่งทางที่เค้าใช้ขนของมาสร้างเขื่อนเดิม) 
แปบเดียวก็มาถึงสถานี Ogizawa ละ เราซื้อตั๋วรถบัสต่อเพื่อจะไปสถานีรถไฟ Shinano Omachi
มาถึง Shinano Omachi สถานีรถไฟเล็ก น่ารักดี 

เราซื้อตั๋วรถไฟไป Mutsumoto เพื่อไปเปลี่ยนสายรถไฟที่นั่นกลับนาโกย่า  ตอนรถไฟมาถึงสถานี Mutsumoto เค้าจะประกาศ มัสซีโมโตะ มัสซึโมโตะะะะะะะะ(ลากเสียงยาวๆ) เล่นเอาขำ ขนาดพี่สองคนอยู่ญี่ปุ่นมาหลายปียังขำเลย55555
                                                     บนรถไฟไปMutsumoto

       แล้วก็กลับมาถึงสถานีนาโกย่า (พี่สองคนนั่นลงก่อนสองสถานีคะ) จากนั้นเราก็ต่อรถไฟจากสถานีนาโกย่าไปสถานี Fushimi เป็นสถานีที่อยู่ใกล้ รร.เราที่สุด

 พอถึงก็จัดแจงหาไรกิน เดินชมนาโกย่าทาวเวอร์ เดินดูผู้คนว่ากลางคืนทำไรกัน จากนั้นก็กลับ รร. หมดแรง หลับ5555






ชอบถ่ายรูปฝาท่อ แต่ละเมืองจะมีรูปต่างกัน


เช้าของอีกวันแล้ว วันนี้ตื่นที่นาโกย่า เตรียมตัวเดินทางเที่ยวต่อ(เก็บเสื้อผ้าใส่เป้แค่ชุดเดียวเหมือนเดิม) แพลนวันนี้คือเดินเที่ยวปราสาทนาโกย่ากับวัด Osu Kannon และก็นั่งชินคังเซ็นไป Mishima (จริงๆเราแพลนนั่งรถบัสไป-กลับ เพราะประหยัด ค่ารถไฟชินคังเซ็นมันแพง แต่เพื่อนบอกมาญี่ปุ่นทั้งที อยากนั่ง ก็เลยจัดไป) แต่ด้วยรอบรถไฟชินคังเซ็น ทำให้เราได้เที่ยวแค่ Osu Kannon 



ด้านหลังวัดจะมีที่ช็อปปิ้งด้วย


แล้วก็กลับมาขึ้นชินคังเซ็นที่นาโกย่าสเตชั่นนนน สถานีรถไฟชินคังเซ็นที่นาโกย่าคนเยอะมากกกก อาจเพราะเป็นศูนย์กลางที่รวมรถไฟทุกสายทุกภูมิภาคต้องมาผ่าน
ด้านหน้าสถานีรถไฟ
 (เป็นที่ตั้ง ตึก JR Central Tower สำนักงานใหญ่ของรถไฟ JR) 
ตึก JR Central Tower ตอนกลางคืน
ซื้อตั๋วรถไฟมาแล้ว
ตั๋วรถไฟชินคังเซ็น ขบวน Hikari 466 ตู้ที่ 12 ที่นั่ง 10A

 ศึกษาวิธีขึ้นรถไฟให้ไม่ผิดขบวนไม่ผิดตู้ ซื้อข้าวกล่อง เดินขึ้นไปรอรถ แปบเดียวรถไฟก็มา (คนญี่ปุ่นเข้าแถวขึ้นรถไฟรถบัสฯลฯกันนะคะ อย่าแซงเค้าน๊า) 



เมื่ออยู่บนรถไฟก็จัดการหม่ำๆๆๆๆ เราซื้อข้าวหน้าเนื้อใจเสือ เอ้ย หน้าเนื้อเฉยๆมาคะ 

ถึงสถานีMishima แล้ว ออกทางประตูทิศใต้ ออกมาเลี้ยวซ้ายไปซื้อตั๋วรถบัสนั่งไป Yamanshi (ทะเลสาปทั้ง 5 ของฟูจิ) เราเลือกมาที่เมืองนี้เพราะคิดว่าสงบกว่าที่ kawaguchiko เพราะที่นั่นนักท่องเที่ยวเยอะ ซื้อตั๋วบัสแบบไป-กลับ (ประหยัดกว่า) เวลาลงรถที่ไหน ขากลับก็มาขึ้นที่เดิม
จุดจอดรถคะ เราลงป้าย Mt.Fuji Yamanakako (Hotel Mt.Fuji Iriguchi)

ลงรถแล้วก็เดินนิดนึงก็มาถึงที่พัก Guesthouse Hotorinite เป็นเกสเฮาส์เล็กๆ น่ารัก เจ้าของใจดีมากกก เป็นบ้านเก่าแก่สร้างมากว่าร้อยปี แต่ทำเป็นเกสเฮาส์มาประมาณ 60 ปี เจ้าของเล่าว่าเค้าเป็นรุ่นที่ 3 ที่ดูแลที่นี่ (จำชื่อเจ้าของไม่ได้ จำได้แต่ว่าใจดีมาก) 
เจ้าของเกสเฮาส์


ทริปวันนี้เป็นทริปที่พอดีมา แบบขึ้นรถลงรถอะไรก็พอดีไปหมด ฟินมาก ที่เกสเฮาส์มีจักรยานให้ยืมปั่นเลียบทะเลสาปด้วย ปั่นๆไปจุดชมวิวดูฟูจิ เสียดายมีเมฆบังครึ่งนึง 






พอเริ่มเย็น เราก็ปั่นไปกินข้าว  ร้านนี้เจ้าของเกสเฮาส์แนะนำ เป็นร้านดังประจำเมือง อาหารอร่อย (ชามใหญ่มากๆซุปเปอร์มาก) สรุปอร่อยแค่ไหนก็กินไม่หมด5555555







ทานมื้อเย็นเสร็จก็กลับที่พัก ที่นี่ต้องปูที่นอนเองเหมือนสมัยโบราณของเค้า(จำชื่อวิธีการปูที่นอนแบบนี้ไม่ได้) 


ตื่นเช้ามาอีกวันแว้วววว มองเห็นฟูจิอยู่หลังบ้านเล๊ยยย 



 ทริปวันนี้คือเที่ยวรอบทะเลสาป ใช้ Restro Bus ของแต่ละทะเลสาปนั่นเอง มีจอดเป็นจุดๆอยากเที่ยวจุดไหนก็ลง แล้วสัก 45 นาทีอีกคันก็จะวนๆมา แต่เราลงไม่ทุกจุด เพราะเวลาจำกัด


 ไปลงที่ oshino hakkai แม่น้ำที่เกิดจากตะกอนภูเขาไฟ




 เดินเที่ยวๆ แต่ด้วยรถบัสมีรอบมาช้ากว่าเดิม เลยต้องเดินๆๆๆ กลับมา (5กิโลเห็นจะได้) ระหว่างทางก็แวะไหว้ศาลเจ้าต่างๆที่เค้าสร้างไว้บูชาเทพเจ้าที่เค้าว่าอยู่บนภูเขาฟูจิ ได้ไหว้อยู่ สองศาลเจ้า 
 ระหว่างเดินกลับมีทุ่งทิวลิปด้วย แต่ยังไม่บานเต็มที่




 ไปไหนๆก็ถ่ายท่อ (ถ่ายหาท่อหราา)

เดินมาถึง Bus Stop ที่เดิมที่เราลงเมื่อวาน นั่งรอรถ แล้วรถก็มา คนขับก็มาตามหาเราด้วย เพราะมีบันทึกอยู่ (เพราะเราซื้อแบบไปกลับไง) ขากลับรถจะวนมาส่งเราถึงด้านหน้าสถานีรถไฟชินคังเซ็น มาถึงก็ไปซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถ ที่สถานีนี้มองเห็นฟูจิชัดเจนคะ พอกลับมาถึงนาโกย่าก็รีบหาของกินก่อนเลย หิวมากๆ กินๆๆ เดินช็อปแปบนึง ก็กลับเข้า รร. เตรียมเก็บของ เพราะตอนเช้าต้องรีบออกไปสนามบิน ก่อนนอนแอบขนเหรืยญที่แสนหนักอึ่งไปซื้อของในสโตร์หน้า รร. (ก็เหรียญมันแลกคืนเป็นเงินไทยไม่ได้ แถมหนักอีก ซื้อของซะเบย)
ตื่นเช้าจัดการเช็คเอาท์ นั่งรถมาที่สถานีนาโกย่าเหมือนเดิม แล้วนั่งรถไฟไปสนามบินต่อ ก่อนกลับก็ดันมีเหตุให้ตื่นเต้นอีก คือเราขึ้นรถไฟผิด มารู้ตัวตอนผ่านสองสถานี เลยถามน้องวัยรุ่นญี่ปุ่น น้องเค้าพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ใช้วิธีลงรถมาส่งเราขึ้นรถไฟคันที่ถูกต้อง รู้สึกของคุณน้องเค้าจริงๆ เรามัวกลัวตกเครื่องเลยไม่ทันได้ถ่ายรูปด้วยเลย แต่รู้สึกขอบคุณน้องเค้าจริงๆ มาถึงสนามบินก็จัดการแลกบัตร Monaca คืน (ใช้บัตรนี้ตลอดเลยเวลาขึ้นรถไฟ) มาเช็คอินกลับ 
แต่มามีเหตุตื่นเต้นอีกละ คือ D7 ข่ะ (อีกแล้ว ขามาก็ทีละ) ดีเลย์ซะงั้น เรามีไฟลท์ที่ต้องต่อจากดอนเมืองกลับเชียงใหม่ด้วย กลัวตกเครื่องมาก มาถึงดอนเมืองคือรีบวิ่งเข้าหากราวน์แอร์เอเชียก่อนเลย เค้าก็วิทยุขอให้รอเราแปบนีง เพราะเราต้องรอกระเป๋า ตอนรับกระเป๋านี่เซ็งอีก คือขาลากกระเป๋าหัก ทั้งของเราและของเพื่อน เลยต้องหิ้วกระเป๋าใหญ่วิ่ง ตอนวิ่งเข้าไปเกทนี่เพื่อนก็ลืมเป้ไว้ตอนแสกน แถมเกทอยู่ 72 สุดทางเล๊ยยย วิ่งไปถึง คือเหลือแค่เรากะพี่อีกกลุ่มนึ่งสัก4-5คน นั่งรถตู้ไปขึ้นเครื่่อง พอเดินถึงหน้าประตูเครื่องหล่ะ เพื่อนบอกกระเป๋าหาย(พึ่งนึกได้) แอร์เลยขอให้นั่งก่อน แล้วทางนี้จะช่วยติดตามให้ เราก็เลยบินมาเชียงใหม่ พอถึงเชียงใหม่ที่กรุงเทพก็โทรมาบอกว่าเจอกระเป๋าแล้ว จะส่งให้พรุ่งนี้ จบทริปอันแสนสนุกด้วยความตื่นเต้น เจอกันอีกทีซัปโปโร่นะแจ๊ะ ไปแล้นนนนน